xs
xsm
sm
md
lg

ลองขับ“เอลันตร้า ใหม่”ดุ คม สมหน้าตา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สองปีก่อนฮุนได มอเตอร์ ไทยแลนด์ นำ“เอลันตร้า ใหม่” มาเปิดตัวพร้อมจัดงานเอิกเกริกอลังการที่โรงแรมดังย่านรัชดาในช่วงเช้า จากนั้นช่วงบ่ายสั่งปิดสวนสนุกแดนเนรมิต ยกทั้งรถไฟเหาะ ไวกิ้ง บ้านผีสิงออกไป เพื่อเปิดสนามมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ให้ผู้สื่อข่าวได้ลองสมรรถนะกันสั้นๆ ตอนนั้นผู้เขียนยังประหลาดใจว่าฮุนได กินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงกล้านำรถยนต์รุ่นนี้มาทำตลาด เพราะนอกจากจะเจอคู่แข่งแข็งโป๊กทั้ง อัลติส ซีวิค โฟกัส มาสด้า3 แล้ว ราคาที่นำเข้ามาจากเกาหลี และขายแบบสะเด็ดน้ำก็เริ่มต้นที่ 9 แสนบาทไปจนถึงตัวท็อปราคาทะลุล้าน

ดังนั้นที่ผ่านมาเอลันตร้า น่าจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์เรื่องการออกแบบ ความทันสมัย และเทคโนโลยียานยนต์ มากกว่าการเก็บโกยยอดขายละครับ

แต่ล่าสุดจังหวะเหมาะที่โฉมไมเนอร์เชนจ์ของ“เอลันตร้า” ขึ้นไลน์ผลิตที่โรงงานประเทศมาเลเซีย พร้อมนำเข้ามาขายในไทยผ่านข้อตกลงเขตการค้าเสรีไม่มีกำแพงภาษี ราคาขายใหม่จึงออกมาน่าคบหามากขึ้น หรือลดลงไปเป็นหลักแสนบาทเมื่อเทียบกับรุ่นนำเข้ามาจากเกาหลี (เกาหลีใต้ขายในชื่อ “อวันเต้”)โดยรุ่นเริ่มต้น 1.8 GL ราคา 7.49 แสนบาท 1.8 GLE 8.19 แสนบาท และตัวท็อป 1.8 GLS Navi 8.98 แสนบาท (ล่าสุดปรับราคาขึ้นเป็น 9.36 แสนบาท)

นอกจากราคาที่น่าสนใจแล้ว สมรรถนะการขับขี่นับเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนชื่นชมครับ โดยเฉพาะช่วงล่างและการควบคุมที่ดีขึ้นแบบผิดฝาผิดตัวจากรุ่นเดิม


ช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท หลังแบบทอร์ชันบีม ประกบล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รองรับได้หนึบแน่นมากขึ้น การทรงตัวมีเสถียรภาพสูงทั้งทางตรง ทางโค้ง พร้อมซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้เนียนพอสมควร ซึ่งต่างจากเอลันตร้าตัวที่ผู้เขียนเคยขับเมื่อสองปีก่อนที่ช่วงล่างค่อนข้างนุ่มจนย้วยเกิน

สอดคล้องกับระบบพวงมาลัยที่ฮุนไดเรียกว่า Flex Steer System ที่ผู้ขับสามารถปรับการตอบสนองหรือความหนัก-เบาได้ 3 ระดับคือ คอมฟอร์ต นอร์มอล และสปอร์ต


การขับในช่วงแรก ผู้เขียนไม่ได้ไปยุ่งกับระบบพวงมาลัยหรือปรับเปลี่ยนอะไร แต่รู้สึกว่าการควบคุมแน่นกว่าเดิมมาก จากนั้นเมื่อขับไปสักระยะก็ลองเปลี่ยนโหมดโดยกดปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย ซึ่งระบบจะแสดงผลทางหน้าปัดดิจิตอลด้านหน้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างมาตรวัดความเร็วกับรอบเครื่องยนต์ จึงรู้ว่าที่ขับอยู่เป็นโหมดคอมฟอร์ต


คราวนี้ก็สนุกละครับ ขนาดคอมฟอร์ตยังจัดการกับทิศทางของรถได้ดีขนาดนี้ เมื่อเปลี่ยนเป็นโหมดสปอร์ต พวงมาลัยยิ่งหนืดหน่วง ขับความเร็วสูงนิ่งมือ พร้อมสั่งงานซ้ายขวาได้อย่างมั่นใจ (ถ้าเป็นโหมดคอมฟอร์ตก็เบาหวิวแต่แม่นยำ ช่วยผ่อนแรงในการเอี้ยวเลี้ยวจอดรถได้ดี)


การควบคุม สอดคล้องกันดีกับการเซ็ทช่วงล่างใหม่ ที่แม้จะไม่เทพเท่า “ฟอร์ด โฟกัส” และ “มาสด้า 3” แต่ประสิทธิภาพรวมๆสู้กับคู่แข่งรายอื่นๆได้สบาย


ในส่วนขุมพลังนั้นหายห่วง ซึ่งตัวเลขประสิทธิผลของกำลังยังเท่าเดิม แต่ปรับมาตรฐานไอเสียให้ดีขึ้น โดยผ่านระดับยูโร4 กับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร D-CVVT วาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 178 นิวตันเมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

การตอบสนองของการกดคันเร่งต่อการปลดปล่อยพลังลงสู่ล้อคู่หน้า ค่อนข้างฉับไวในทุกความต้องการ จังหวะออกตัว เร่งแซงไม่มีอืดอาด กดเป็นพุ่ง ส่งเป็นหาย ด้านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเป็นแบบทริปทรอนิก เลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดา ดันหน้าเพิ่มเกียร์ โยกหลังลดเกียร์ การทำงานแม่นยำและตามใจผู้ขับพอสมควร


ในรุ่นท็อป GLS ที่ผู้เขียนได้ลองยังมากับออปชันเด่นอย่างเครื่องเล่น DVD จอภาพแบบสัมผัส touch screen ใช้งานถนัดเหมือนสมาร์ทโฟน พร้อมระบบนำทาง Navigator และกล้องมองหลัง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone และมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ตลอดจนระบบ Smart Entry และระบบ Button Start System (ปุ่มสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์) รวมถึงระบบควบคุมความเร็ว Cruise Control


ด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับต้นๆของคลาส โดยเฉพาะเสียงรบกวนของการจราจรภายนอก เอลันตร้าจัดการได้เงียบกริบ





ภายนอกของเอลันตร้า ใหม่ เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยครับไล่ตั้งแต่ กระจังหน้า รายละเอียดในโคมไฟหน้า-หลัง ทรงไฟตัดหมอก ทั้งนี้รุ่นท็อป GLS จะใช้ไฟหน้าอัตโนมัติแบบ HID projector พร้อม LED light guide

ความปลอดภัยจัดระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบกระจายแรงเบรก EBD และถุงลมนิรภัยคู่หน้ามาเป็นมาตรฐานครบทุกรุ่นย่อย ส่วนตัวท็อปจะเพิ่มระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวESP และ VSM พร้อมระบบช่วยออกตัวทางลาดชัน HAC มาให้

ด้านอัตราบริโภคน้ำมันจากการทดสอบในเส้นทางอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ขึ้นเขาลงเนิน ผ่านหลากหลายโค้ง ใช้ความเร็วแบบการขับขี่ปกติ (60-80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร สรุปได้ตัวเลขที่ 13-14 กิโลเมตรต่อลิตร


รวบรัดตัดความ…ฮุนไดตั้งเป้าส่งมอบเอลันตร้าใหม่ให้ลูกค้าได้เดือนละ 100 คัน แต่หลังจากการเปิดตัวได้กระแสตอบรับดีเกินคาด มียอดจองเข้ามากว่า 300 คันแล้ว ดังนั้นบางรุ่นบางสีอาจจะต้องรอรับรถไปถึงต้นปีหน้า ด้วยสมรรถนะดุดันมากขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมและช่วงล่างเนียนแน่นกว่าเดิม การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือเป็นจุดเด่นคุยได้เหนือใคร ออปชันเพียบและเพียงพอต่อการใช้งานแม้จะเป็นแค่รุ่นล่างสุดกับราคาที่แข่งขันได้ ใครชอบรถหน้าตาสปอร์ตโฉบเฉี่ยวแบบนี้ ก็จัดไปได้ยาวๆ





กำลังโหลดความคิดเห็น