หลังจากค่ายรถจักรยานยนต์ “ดูคาติ” ลงทุนขึ้นไลน์ประกอบในเมืองไทย ส่งผลให้ค่าตัวถูกลง นักบิดสามารถเข้าถึงได้สะดวกมากขึ้น แม้ยอดขายจะเติบโตตามกระแสความนิยมบิ๊กไบค์ที่กำลังมาแรงด้วย แต่ด้านการทำตลาดก็ไม่นิ่งนอนใจ รุกหนักจัดเต็มอย่างไม่เคยมีมาก่อน จำได้ว่าปลายเดือนที่แล้วเพิ่งลุยเดี่ยวออกงาน “Ducati Showcase” ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ล่าสุด กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีจัดกิจกรรมกันอีกแล้ว
โดยครั้งนี้เป็นทริปทดสอบสมรรถนะ “ดูคาติ มัลติสตาด้า” (Multistrada 1200) โมเดลประกอบในบ้านเรา รุ่นที่ 3 ต่อจากมอนสเตอร์ (Monster) และแดเวล (Diavel) ด้วยการชวนสื่อมวลชนร่วมสัมผัสการขับขี่ในรูปแบบขบวนท่องเที่ยว ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-แก่งกระจาน ระยะทางรวมประมาณ 450 กม.
ก่อนออกเดินทางทีมงานกล่าวสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับแนวคิดการพัฒนารถรุ่นนี้ โดยความโดดเด่นอยู่ที่การรวมบุคลิกของรถ 4 ประเภทเข้าไว้ด้วยกันหรือแบบ 4 Bikes in 1 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอันชาญฉลาดในการปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการใช้งานได้ 4 โหมด ได้แก่ Sport, Touring, Urban และ Enduro พร้อมแนะนำการเลือกใช้ รวมถึงฟังก์ชันอื่นๆ ที่ติดตั้งมากับตัวรถ
ทั้งนี้ทางดูคาติเตรียมรถทดสอบไว้ให้ 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วยรุ่น ABS, S และ S Touring ซึ่งทั้งหมดใช้ขุมพลังเดียวกันจากเครื่องยนต์ แอล-ทวิน ขนาด 1,198 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 9,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 124.5 นิวตัน-เมตรที่ 7,500 รอบต่อนาที ระบบช่วงล่างด้านหน้าโช้กอัพแบบเทเลสโคปิกหัวกลับ ด้านหลังโปรอาร์มผสานการทำงานกับโช้กอัพเดี่ยว สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างอิสระทั้งหน้าและหลัง ส่วนความปลอดภัยติดตั้งชุดเบรกแบรนด์ดัง Brembo รอบคัน ด้านหน้าดิสก์คู่ขนาด 320 มม. ประกบคาลิเปอร์ 4 ลูกสูบต่อข้าง ด้านหลังดิสก์เดี่ยวขนาด 245 มม. คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS ที่สามารถปิดหรือปรับค่าความไวของการตอบสนองได้อย่างอิสระทั้งหน้าและหลังเช่นกัน
โดยในแต่ละรุ่นจะมีออฟชันที่แตกต่างกันออกไป ส่วน “ASTVผู้จัดการมอเตอริง” ได้รับมอบหมายให้ประจำการในรุ่น ABS
สำหรับรูปร่างหน้าตาของมัลติสตาด้า หลายคนรวมถึงผู้เขียนมองว่า ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าแองกรี้เบิร์ดเสียเหลือเกิน ด้วยช่องแรมแอร์ขนาดใหญ่ดูเหมือนจะงอยปาก ดวงไฟคู่หน้าเปรียบเสมือนดวงตา ช่วงหัวและลำตัวแม้จะแสดงออกถึงความแข็งแรงสมบุกสมบัน แต่ไม่ได้แข็งกร้าวดุร้ายทั้งยังดูท่าทางจะเป็นมิตรกับผู้ขี่ด้วยซ้ำ ยิ่งรวมกับสีแดงสดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบิ๊กไบค์ยี่ห้อนี้ จึงไม่แปลกที่จะได้รับมอบสมญานามดังกล่าว
เมื่อได้เวลาล้อหมุน เพียงแค่สัมผัสแรกก็ประทับใจแล้ว สำหรับการเปิดสวิตซ์หรือสตาร์ทเครื่องยนต์ ด้วยระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ทำงานผ่านคลื่นวิทยุในระยะ 2 เมตรรอบๆ ตัวรถ โดยฝูงนกขี้โมโหเริ่มออกเดินทางจากโชว์รูมดูคาติทองหล่อ ฝ่าการจราจรที่หนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน จากในเมืองมุ่งหน้าสู่ถนนพระราม 2 ด้วยขนาดมิติตัวรถ กว้าง 950 มม. ยาว 2,200 มม. สูง 1,405 มม. ถือว่าใหญ่โตทีเดียวเมื่อเทียบกับมอเตอร์ไซค์ขนาดทั่วไป อย่างไรก็ตาม การวิ่งใช้งานในสถานการณ์จริงไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เพราะการควบคุมทำได้ดังใจและพริ้วไหวไม่น้อยเลยทีเดียว
ในส่วนของท่านั่งสะดวกสบาย หลังตรง ตำแหน่งแขนและความกว้างของแฮนด์บังคับกำลังพอเหมาะ ถังน้ำมันขนาดความจุ 20 ลิตร ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ไม่อ้วนเทอะทะ แถมดูเพรียวลู่ลม ทำให้ช่วงขาโอบได้กระชับ
ขณะที่ความสูงเบาะนั่ง 850 มม. การเหยียดขายันพื้นช่วงหยุดรถของผู้ขี่ที่มีความสูงไม่เกิน 165 ซม. ถึงจะทำได้เพียงปลายเท้าข้างเดียว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่อุปสรรคของคนที่คิดจะขี่รถประเภทนี้ เพราะทุกยี่ห้อความสูงเบาะแทบจะใกล้เคียงกันอยู่แล้ว
สำหรับโหมดการขี่จากจุดเริ่มต้น ผู้เขียนเลือกใช้รูปแบบ Sport จุดประสงค์ต้องการสัมผัสพละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวรถ ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่มียั้ง โดยแรงม้าและแรงบิดเตรียมทะยานออกมาตามองศาการเปิดคันเร่ง เช่นเดียวกับระบบช่วงล่าง เบรก และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีหรือ DTC (Ducati Traction Control) ที่ถูกปรับเซตค่าการตอบสนองจากโรงงาน และพร้อมทำหน้าที่อย่างเหมาะสมที่สุดในโหมดนี้
หลังวิ่งทะลุเข้าสู่ชานเมือง บิ๊กไบค์สัญชาติอิตาเลียน 8 คัน เริ่มปรับความเร็วตามสภาพการจราจรที่คล่องตัวมากขึ้น บางช่วงมีจังหวะเร่งสปีดไต่ระดับถึง 200 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม การควบคุมตัวรถยังสามารถทำได้อย่างมั่นใจเช่นเดียวกับช่วงที่ใช้ความเร็วต่ำ
ขณะเดียวกันทีมงานดูคาติย้ำว่า รูปแบบการขี่ในวันนี้เพื่อต้องการให้เข้าถึงประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วการขี่นำขบวนลูกค้าออกทริปท่องเที่ยว จะใช้ความเร็วต่ำกว่านี้ประมาณ 50% เนื่องจากทักษะการขี่บิ๊กไบค์ของผู้ร่วมทริปไม่ได้ใกล้เคียงกันเหมือนอย่างในครั้งนี้
เมื่อต้องการอรรถรสการขี่แบบท่องเที่ยว อยากพักสายตาและดื่มด่ำบรรยากาศรอบข้างบ้าง การปรับสู่โหมด Touring ดูจะทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะแรงบิดที่ตอบสนองจะเพิ่มความนุ่มนวล โดยยังพร้อมส่งฝูงม้า 150 ตัว ให้ออกมาคึกคักเต็มจำนวนเช่นเดิม ส่วนตัวช่วยอย่างช่วงล่าง เบรก และ DTC แน่นอนว่าถูกปรับเซตให้เหมาะสมตามไปด้วย
ส่วนโหมด Urban สำหรับใช้ขี่ในเมือง จะอั้นม้าออกมาเพียง 100 ตัว เพื่อเน้นการควบคุมให้ง่ายที่สุด ซึ่งโหมดนี้ผู้เขียนได้ลองใช้บ้าง เพียงแต่รู้สึกว่ายังไม่โดนใจ เพราะถ้าเริ่มชินกับการใช้ขุมพลังแบบ Sport แล้ว ในสภาพการจราจรที่วุ่นวาย หากเลือกใช้ความแรงแบบจัดเต็มก็สนุกไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่าโหมดนี้มีประโยชน์แน่ สำหรับมือใหม่ที่ยังควบคุมรถได้ไม่แม่นยำนัก
สำหรับไฮไลท์ช่วงท้ายในทางฝุ่น มัลติสตาด้าทุกคันปรับสู่โหมด Enduro ระบบตัดการทำงานของ Traction Control ทันที ซึ่งพอกระแทกคันเร่งแรงๆ แต่ละครั้งจะมีอาการล้อหลังสไลด์ออกมาให้ได้สัมผัสกันด้วย ยิ่งรวมคุณสมบัติลายดอกยางที่ออกแบบรองรับการใช้งานบนทางออฟโรดด้วยแล้ว ถือว่าครบเครื่องตอบสนองได้หลากหลายสมชื่อจริงๆ
ส่วนช่วงขากลับเข้ากรุงเทพฯ ผู้เขียนลองสลับไปขี่เวอร์ชัน S ดูบ้าง ซึ่งเหนือกว่ารุ่น ABS ตรงที่ระบบช่วงล่างสามารถปรับด้วยไฟฟ้าผ่านหน้าจอที่เรือนไมล์ พร้อมการตรวจจับสภาพถนนจากแรงยุบที่ตัวโช้ก โดยจะมีเซ็นเซอร์คอยตั้งค่าที่เหมาะสมตามสภาพใช้งานจริงในขณะนั้นแบบอัตโนมัติ
สรุปทัศนะจากการร่วมทริปทดสอบ ยังไม่เห็นว่าแองกรี้เบิร์ดสัญชาติอิตาเลียนตัวนี้จะมีข้อด้อยใดให้ตำหนิ ส่วนหนึ่งเพราะคู่แข่งในตลาดยังไม่ชัดเจน เอาเป็นว่านักบิดที่ต้องการรถแบบอเนกประสงค์ เน้นวิ่งทางดำ 70% ทางฝุ่น 30% ใช้ขี่หล่อในเมืองคล่องตัว นอกเมืองซิ่งสบาย ตัวเลือกนี้ให้ได้แบบคันเดียวจบ สนนราคาเริ่มต้น 858,000 บาท
โดยครั้งนี้เป็นทริปทดสอบสมรรถนะ “ดูคาติ มัลติสตาด้า” (Multistrada 1200) โมเดลประกอบในบ้านเรา รุ่นที่ 3 ต่อจากมอนสเตอร์ (Monster) และแดเวล (Diavel) ด้วยการชวนสื่อมวลชนร่วมสัมผัสการขับขี่ในรูปแบบขบวนท่องเที่ยว ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-แก่งกระจาน ระยะทางรวมประมาณ 450 กม.
ก่อนออกเดินทางทีมงานกล่าวสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับแนวคิดการพัฒนารถรุ่นนี้ โดยความโดดเด่นอยู่ที่การรวมบุคลิกของรถ 4 ประเภทเข้าไว้ด้วยกันหรือแบบ 4 Bikes in 1 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอันชาญฉลาดในการปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการใช้งานได้ 4 โหมด ได้แก่ Sport, Touring, Urban และ Enduro พร้อมแนะนำการเลือกใช้ รวมถึงฟังก์ชันอื่นๆ ที่ติดตั้งมากับตัวรถ
ทั้งนี้ทางดูคาติเตรียมรถทดสอบไว้ให้ 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วยรุ่น ABS, S และ S Touring ซึ่งทั้งหมดใช้ขุมพลังเดียวกันจากเครื่องยนต์ แอล-ทวิน ขนาด 1,198 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 9,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 124.5 นิวตัน-เมตรที่ 7,500 รอบต่อนาที ระบบช่วงล่างด้านหน้าโช้กอัพแบบเทเลสโคปิกหัวกลับ ด้านหลังโปรอาร์มผสานการทำงานกับโช้กอัพเดี่ยว สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างอิสระทั้งหน้าและหลัง ส่วนความปลอดภัยติดตั้งชุดเบรกแบรนด์ดัง Brembo รอบคัน ด้านหน้าดิสก์คู่ขนาด 320 มม. ประกบคาลิเปอร์ 4 ลูกสูบต่อข้าง ด้านหลังดิสก์เดี่ยวขนาด 245 มม. คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS ที่สามารถปิดหรือปรับค่าความไวของการตอบสนองได้อย่างอิสระทั้งหน้าและหลังเช่นกัน
โดยในแต่ละรุ่นจะมีออฟชันที่แตกต่างกันออกไป ส่วน “ASTVผู้จัดการมอเตอริง” ได้รับมอบหมายให้ประจำการในรุ่น ABS
สำหรับรูปร่างหน้าตาของมัลติสตาด้า หลายคนรวมถึงผู้เขียนมองว่า ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าแองกรี้เบิร์ดเสียเหลือเกิน ด้วยช่องแรมแอร์ขนาดใหญ่ดูเหมือนจะงอยปาก ดวงไฟคู่หน้าเปรียบเสมือนดวงตา ช่วงหัวและลำตัวแม้จะแสดงออกถึงความแข็งแรงสมบุกสมบัน แต่ไม่ได้แข็งกร้าวดุร้ายทั้งยังดูท่าทางจะเป็นมิตรกับผู้ขี่ด้วยซ้ำ ยิ่งรวมกับสีแดงสดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบิ๊กไบค์ยี่ห้อนี้ จึงไม่แปลกที่จะได้รับมอบสมญานามดังกล่าว
เมื่อได้เวลาล้อหมุน เพียงแค่สัมผัสแรกก็ประทับใจแล้ว สำหรับการเปิดสวิตซ์หรือสตาร์ทเครื่องยนต์ ด้วยระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ทำงานผ่านคลื่นวิทยุในระยะ 2 เมตรรอบๆ ตัวรถ โดยฝูงนกขี้โมโหเริ่มออกเดินทางจากโชว์รูมดูคาติทองหล่อ ฝ่าการจราจรที่หนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน จากในเมืองมุ่งหน้าสู่ถนนพระราม 2 ด้วยขนาดมิติตัวรถ กว้าง 950 มม. ยาว 2,200 มม. สูง 1,405 มม. ถือว่าใหญ่โตทีเดียวเมื่อเทียบกับมอเตอร์ไซค์ขนาดทั่วไป อย่างไรก็ตาม การวิ่งใช้งานในสถานการณ์จริงไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เพราะการควบคุมทำได้ดังใจและพริ้วไหวไม่น้อยเลยทีเดียว
ในส่วนของท่านั่งสะดวกสบาย หลังตรง ตำแหน่งแขนและความกว้างของแฮนด์บังคับกำลังพอเหมาะ ถังน้ำมันขนาดความจุ 20 ลิตร ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ไม่อ้วนเทอะทะ แถมดูเพรียวลู่ลม ทำให้ช่วงขาโอบได้กระชับ
ขณะที่ความสูงเบาะนั่ง 850 มม. การเหยียดขายันพื้นช่วงหยุดรถของผู้ขี่ที่มีความสูงไม่เกิน 165 ซม. ถึงจะทำได้เพียงปลายเท้าข้างเดียว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่อุปสรรคของคนที่คิดจะขี่รถประเภทนี้ เพราะทุกยี่ห้อความสูงเบาะแทบจะใกล้เคียงกันอยู่แล้ว
สำหรับโหมดการขี่จากจุดเริ่มต้น ผู้เขียนเลือกใช้รูปแบบ Sport จุดประสงค์ต้องการสัมผัสพละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวรถ ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่มียั้ง โดยแรงม้าและแรงบิดเตรียมทะยานออกมาตามองศาการเปิดคันเร่ง เช่นเดียวกับระบบช่วงล่าง เบรก และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีหรือ DTC (Ducati Traction Control) ที่ถูกปรับเซตค่าการตอบสนองจากโรงงาน และพร้อมทำหน้าที่อย่างเหมาะสมที่สุดในโหมดนี้
หลังวิ่งทะลุเข้าสู่ชานเมือง บิ๊กไบค์สัญชาติอิตาเลียน 8 คัน เริ่มปรับความเร็วตามสภาพการจราจรที่คล่องตัวมากขึ้น บางช่วงมีจังหวะเร่งสปีดไต่ระดับถึง 200 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม การควบคุมตัวรถยังสามารถทำได้อย่างมั่นใจเช่นเดียวกับช่วงที่ใช้ความเร็วต่ำ
ขณะเดียวกันทีมงานดูคาติย้ำว่า รูปแบบการขี่ในวันนี้เพื่อต้องการให้เข้าถึงประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วการขี่นำขบวนลูกค้าออกทริปท่องเที่ยว จะใช้ความเร็วต่ำกว่านี้ประมาณ 50% เนื่องจากทักษะการขี่บิ๊กไบค์ของผู้ร่วมทริปไม่ได้ใกล้เคียงกันเหมือนอย่างในครั้งนี้
เมื่อต้องการอรรถรสการขี่แบบท่องเที่ยว อยากพักสายตาและดื่มด่ำบรรยากาศรอบข้างบ้าง การปรับสู่โหมด Touring ดูจะทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะแรงบิดที่ตอบสนองจะเพิ่มความนุ่มนวล โดยยังพร้อมส่งฝูงม้า 150 ตัว ให้ออกมาคึกคักเต็มจำนวนเช่นเดิม ส่วนตัวช่วยอย่างช่วงล่าง เบรก และ DTC แน่นอนว่าถูกปรับเซตให้เหมาะสมตามไปด้วย
ส่วนโหมด Urban สำหรับใช้ขี่ในเมือง จะอั้นม้าออกมาเพียง 100 ตัว เพื่อเน้นการควบคุมให้ง่ายที่สุด ซึ่งโหมดนี้ผู้เขียนได้ลองใช้บ้าง เพียงแต่รู้สึกว่ายังไม่โดนใจ เพราะถ้าเริ่มชินกับการใช้ขุมพลังแบบ Sport แล้ว ในสภาพการจราจรที่วุ่นวาย หากเลือกใช้ความแรงแบบจัดเต็มก็สนุกไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่าโหมดนี้มีประโยชน์แน่ สำหรับมือใหม่ที่ยังควบคุมรถได้ไม่แม่นยำนัก
สำหรับไฮไลท์ช่วงท้ายในทางฝุ่น มัลติสตาด้าทุกคันปรับสู่โหมด Enduro ระบบตัดการทำงานของ Traction Control ทันที ซึ่งพอกระแทกคันเร่งแรงๆ แต่ละครั้งจะมีอาการล้อหลังสไลด์ออกมาให้ได้สัมผัสกันด้วย ยิ่งรวมคุณสมบัติลายดอกยางที่ออกแบบรองรับการใช้งานบนทางออฟโรดด้วยแล้ว ถือว่าครบเครื่องตอบสนองได้หลากหลายสมชื่อจริงๆ
ส่วนช่วงขากลับเข้ากรุงเทพฯ ผู้เขียนลองสลับไปขี่เวอร์ชัน S ดูบ้าง ซึ่งเหนือกว่ารุ่น ABS ตรงที่ระบบช่วงล่างสามารถปรับด้วยไฟฟ้าผ่านหน้าจอที่เรือนไมล์ พร้อมการตรวจจับสภาพถนนจากแรงยุบที่ตัวโช้ก โดยจะมีเซ็นเซอร์คอยตั้งค่าที่เหมาะสมตามสภาพใช้งานจริงในขณะนั้นแบบอัตโนมัติ
สรุปทัศนะจากการร่วมทริปทดสอบ ยังไม่เห็นว่าแองกรี้เบิร์ดสัญชาติอิตาเลียนตัวนี้จะมีข้อด้อยใดให้ตำหนิ ส่วนหนึ่งเพราะคู่แข่งในตลาดยังไม่ชัดเจน เอาเป็นว่านักบิดที่ต้องการรถแบบอเนกประสงค์ เน้นวิ่งทางดำ 70% ทางฝุ่น 30% ใช้ขี่หล่อในเมืองคล่องตัว นอกเมืองซิ่งสบาย ตัวเลือกนี้ให้ได้แบบคันเดียวจบ สนนราคาเริ่มต้น 858,000 บาท