ข่าวต่างประเทศ-ฮอนด้าร่วมกับเอไอเอสที พัฒนาหุ่นยนต์สำรวจพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเริ่มออกปฏิบัติงานที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ไดอิจิในญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา
บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และสถาบันเอไอเอสที (The National Institute of Advanced Industrial Science and Technology: AIST) ร่วมกันพัฒนาหุ่นยนต์สำรวจที่มีระบบควบคุมการทำงานจากระยะไกล โดยเริ่มออกสำรวจพื้นที่ชั้น 1 ของโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ณ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ไดอิจิ ของบริษัท โตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ หรือเทปโก้ (Tokyo Electric Power Company Inc: TEPCO) ซึ่งช่วยให้มองเห็นโครงสร้างที่อยู่ในพื้นที่สูงและแคบได้ โดยหุ่นยนต์สำรวจที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่นี้เริ่มออกปฏิบัติงานภายในโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา
หุ่นยนต์สำรวจดังกล่าวได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้งานจริง โดยอ้างอิงข้อมูลจากเทปโก้ เกี่ยวกับสภาพภายในโรงปฏิกรณ์ โดยเอไอเอสทีได้พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่บนพื้นต่างระดับ ส่วนฮอนด้าเป็นผู้พัฒนาแขนหุ่นยนต์สำรวจที่ติดตั้งอยู่ส่วนบนสุดของแพลตฟอร์ม
ทั้งนี้ ฮอนด้าได้นำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นสำหรับอาซิโม หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์มาใช้ในการพัฒนาแขนหุ่นยนต์สำรวจได้แก่ เทคโนโลยีการแสดงภาพโครงสร้าง 3 มิติ รอบๆ สิ่งที่ทำการสำรวจ โดยใช้ระบบ 3D พอยต์คลาวด์ (point cloud) หรือกลุ่มของจุดตัดในระบบพิกัดตำแหน่ง, ระบบควบคุมที่สามารถควบคุมข้อต่อแขนกลได้หลายจุดพร้อมๆ กัน และเทคโนโลยีควบคุมที่ช่วยให้แขนหุ่นยนต์สามารถดูดซับแรงกระแทกที่อาจกระทบกับโครงสร้างโดยรอบ
ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้แขนหุ่นยนต์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่นี้สามารถเข้าถึงวัตถุที่มองเห็นได้ยาก ซึ่งอยู่ข้างหลังวัตถุอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมที่มีโครงสร้างซับซ้อนภายในโรงปฏิกรณ์ได้อย่างง่ายดาย โดยใช้การควบคุมข้อต่อแขนกลในหลายจุดพร้อมๆ กัน และเมื่อเข้าถึงวัตถุ หุ่นยนต์จะใช้กล้องซูมเครื่องกำหนดพิกัดด้วยเลเซอร์ และอุปกรณ์วัดปริมาณกัมมันตรังสีที่ติดตั้งบนปลายแขน เพื่อยืนยันรายละเอียดของภาพ เก็บข้อมูลแบบ 3 มิติ พร้อมทั้งระบุแหล่งกัมมันตรังสี
สำหรับแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่บนพื้นต่างระดับ ใช้โครงสร้างที่มีศูนย์กลางความถ่วงต่ำ เพื่อให้หุ่นยนต์ทรงตัวได้ โดยเอไอเอสทีใช้เทคโนโลยีการควบคุมจากระยะไกล และวางตำแหน่งกล้องได้อย่างชาญฉลาด มีการใช้หลอดไฟ เครื่องกำหนดพิกัดด้วยเลเซอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ จึงสามารถควบคุมหุ่นยนต์ได้ในระยะ 400 เมตร ผ่านเครือข่ายไฟเบอร์ออพติกระบบ LAN แบบมีสาย และระบบ LAN แบบไร้สาย
ข้อมูลจำเพาะของหุ่นยนต์สำรวจ
นอกจากนี้ ฮอนด้าและเอไอเอสทียังร่วมกันพัฒนาระบบควบคุมจากระยะไกลเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์จากสถานที่ที่อยู่ห่างไกลได้ อาทิ จากอาคารป้องกันแผ่นดินไหว และยังช่วยให้หุ่นยนต์สามารถปฏิบัติงานในพื้นที่มืดและแคบภายในโรงปฏิกรณ์ได้อีกด้วย โดยเมื่อหุ่นยนต์เข้าถึงจุดเป้าหมาย เสาจะยืดขึ้นเพื่อสำรวจพื้นที่ที่อยู่ในระดับสูงได้ถึง 7 เมตร โดยไม่ชนกับโครงสร้างโดยรอบ
นอกจากความคืบหน้าในการพัฒนาอาซิโม หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ที่สามารถช่วยเหลือผู้คนและอยู่ร่วมกับผู้คนในชีวิตประจำวันได้แล้ว ฮอนด้ายังศึกษาและวิจัยความเป็นไปได้ในการใช้หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในพื้นที่ภัยพิบัติ จากการพัฒนาแขนหุ่นยนต์สำรวจดังกล่าว ฮอนด้าจะเร่งพัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ความช่วยเหลือในเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงการป้องกันและลดความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติอีกด้วย
บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และสถาบันเอไอเอสที (The National Institute of Advanced Industrial Science and Technology: AIST) ร่วมกันพัฒนาหุ่นยนต์สำรวจที่มีระบบควบคุมการทำงานจากระยะไกล โดยเริ่มออกสำรวจพื้นที่ชั้น 1 ของโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ณ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ไดอิจิ ของบริษัท โตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ หรือเทปโก้ (Tokyo Electric Power Company Inc: TEPCO) ซึ่งช่วยให้มองเห็นโครงสร้างที่อยู่ในพื้นที่สูงและแคบได้ โดยหุ่นยนต์สำรวจที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่นี้เริ่มออกปฏิบัติงานภายในโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา
หุ่นยนต์สำรวจดังกล่าวได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้งานจริง โดยอ้างอิงข้อมูลจากเทปโก้ เกี่ยวกับสภาพภายในโรงปฏิกรณ์ โดยเอไอเอสทีได้พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่บนพื้นต่างระดับ ส่วนฮอนด้าเป็นผู้พัฒนาแขนหุ่นยนต์สำรวจที่ติดตั้งอยู่ส่วนบนสุดของแพลตฟอร์ม
ทั้งนี้ ฮอนด้าได้นำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นสำหรับอาซิโม หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์มาใช้ในการพัฒนาแขนหุ่นยนต์สำรวจได้แก่ เทคโนโลยีการแสดงภาพโครงสร้าง 3 มิติ รอบๆ สิ่งที่ทำการสำรวจ โดยใช้ระบบ 3D พอยต์คลาวด์ (point cloud) หรือกลุ่มของจุดตัดในระบบพิกัดตำแหน่ง, ระบบควบคุมที่สามารถควบคุมข้อต่อแขนกลได้หลายจุดพร้อมๆ กัน และเทคโนโลยีควบคุมที่ช่วยให้แขนหุ่นยนต์สามารถดูดซับแรงกระแทกที่อาจกระทบกับโครงสร้างโดยรอบ
ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้แขนหุ่นยนต์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่นี้สามารถเข้าถึงวัตถุที่มองเห็นได้ยาก ซึ่งอยู่ข้างหลังวัตถุอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมที่มีโครงสร้างซับซ้อนภายในโรงปฏิกรณ์ได้อย่างง่ายดาย โดยใช้การควบคุมข้อต่อแขนกลในหลายจุดพร้อมๆ กัน และเมื่อเข้าถึงวัตถุ หุ่นยนต์จะใช้กล้องซูมเครื่องกำหนดพิกัดด้วยเลเซอร์ และอุปกรณ์วัดปริมาณกัมมันตรังสีที่ติดตั้งบนปลายแขน เพื่อยืนยันรายละเอียดของภาพ เก็บข้อมูลแบบ 3 มิติ พร้อมทั้งระบุแหล่งกัมมันตรังสี
สำหรับแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่บนพื้นต่างระดับ ใช้โครงสร้างที่มีศูนย์กลางความถ่วงต่ำ เพื่อให้หุ่นยนต์ทรงตัวได้ โดยเอไอเอสทีใช้เทคโนโลยีการควบคุมจากระยะไกล และวางตำแหน่งกล้องได้อย่างชาญฉลาด มีการใช้หลอดไฟ เครื่องกำหนดพิกัดด้วยเลเซอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ จึงสามารถควบคุมหุ่นยนต์ได้ในระยะ 400 เมตร ผ่านเครือข่ายไฟเบอร์ออพติกระบบ LAN แบบมีสาย และระบบ LAN แบบไร้สาย
ข้อมูลจำเพาะของหุ่นยนต์สำรวจ
ความยาว | 1.8 เมตร |
ความกว้าง | 0.8 เมตร |
ความสูง | 1.8 เมตร (สำหรับการขนส่ง/เคลื่อนย้าย) |
ระดับสูงสุดที่หุ่นยนต์เข้าไปสำรวจได้ | 7.0 เมตร |
น้ำหนัก | ประมาณ 1,100 กิโลกรัม |
แขนของหุ่นยนต์ | ความยาว: 1.7 เมตร องศาอิสระในการเคลื่อนไหว: 11 |
ประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ | ความเร็วในการเคลื่อนที่สูงสุด: 2 กม./ชั่วโมง ระดับความลาดเอียงสูงสุด: 15 องศา (ส่วนหน้า/หลัง) 20 องศา (ด้านข้าง) ระดับความสูงของการชนสูงสุด: 60 มม. |
นอกจากนี้ ฮอนด้าและเอไอเอสทียังร่วมกันพัฒนาระบบควบคุมจากระยะไกลเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์จากสถานที่ที่อยู่ห่างไกลได้ อาทิ จากอาคารป้องกันแผ่นดินไหว และยังช่วยให้หุ่นยนต์สามารถปฏิบัติงานในพื้นที่มืดและแคบภายในโรงปฏิกรณ์ได้อีกด้วย โดยเมื่อหุ่นยนต์เข้าถึงจุดเป้าหมาย เสาจะยืดขึ้นเพื่อสำรวจพื้นที่ที่อยู่ในระดับสูงได้ถึง 7 เมตร โดยไม่ชนกับโครงสร้างโดยรอบ
นอกจากความคืบหน้าในการพัฒนาอาซิโม หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ที่สามารถช่วยเหลือผู้คนและอยู่ร่วมกับผู้คนในชีวิตประจำวันได้แล้ว ฮอนด้ายังศึกษาและวิจัยความเป็นไปได้ในการใช้หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในพื้นที่ภัยพิบัติ จากการพัฒนาแขนหุ่นยนต์สำรวจดังกล่าว ฮอนด้าจะเร่งพัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ความช่วยเหลือในเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงการป้องกันและลดความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติอีกด้วย