ก่อนที่จะพบกับบททดสอบรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส โฉมใหม่ ที่ทางบริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ เชิญสื่อมวลชน ร่วมเดินทางไปทดสอบยังเมือง Toronto ประเทศ แคนาดา (ระหว่างวันที่ 4 ก.ค.-7ก.ค. 56) เรามาทำความรู้จักรถหรูรุ่นใหญ่ของค่ายดาวสามแฉกกันก่อนที่จะพบกับตัวใหม่ ล่าสุด ในเร็ว ๆ นี้
แม้ชื่อของเอส-คลาสจะเพิ่งเป็นที่รู้จักกันไม่นานในปี 1972 แต่ทว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็รุกตลาดรถยนต์ระดับหรูมาแล้วก่อนหน้านี้ด้วยยานยนต์ที่เพียบพร้อม สิ่งที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในทุกๆ ด้าน และรถยนต์เหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเบนซ์ในการปูทางไปสู่ตลาดในกลุ่ม ไฮเอนด์ ซึ่งเป็นรากฐานที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นสายพันธุ์เอส-คลาสในที่สุด
1954 : ก่อนหน้านี้ประมาณสักเกือบ 50 ปี เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งเน้นในการทำตลาดรถยนต์ระดับหรูเป็นหลัก และไม่ได้มีทางเลือกที่หลากหลายเหมือนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การแยกแยะว่ารถยนต์รุ่นไหนอยู่ในตลาดระดับไหนจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้กลับมาดำเนินกิจการในการรุกตลาดรถยนต์ ก็มีความเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นเดียวกับการแบ่งตลาดอย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งตรงนี้ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถจำแนกตลาดรถยนต์แต่ละรุ่นที่จะเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และนั่นได้นำไปสู่การเปิดตัวรถยนต์ใหม่ในรหัส W180 และ W128 ในปี 1954 ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสายพันธุ์ เอส-คลาส
ทั้ง 2 รุ่นถูกเรียกด้วยชื่อ Ponton โดย W180 ถูกผลิตออกมาก่อนในช่วงระหว่างปี 1954-1957 และใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง จากนั้นในปี 1958 ก็มีการผลิตรุ่น W128 ออกมาทำตลาดแทนที่ และมีทางเลือกของตัวถังไม่ต่างกัน คือ มีทั้งซีดาน คูเป้ และเปิดประทุน
1959 : ในช่วงปลายอายุในการทำตลาดของ W128 เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เปิดตัวรถยนต์ระดับหรูรุ่นใหม่เพื่อออกมาทำตลาดทดแทน โดยใช้รหัสตัวถัง W111 และ W112 หรือถูกเรียกสั้นๆ วา Fintail ตามแบบแนวตัวถังตรงบริเวณไฟท้ายที่ตั้งสูงขึ้นมา และก็เช่นเดียวกันการทำตลาดมีให้เลือกหลากหลายตัวถังทั้งซีดาน คูเป้ และเปิดประทุน พร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบที่มีความจุตั้งแต่ 2,200-2,800 ซีซี และรุ่นใหญ่อย่างวี8 3,500 ซีซี
1965 : จากยุคของ Fintail มาสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ระดับหรูหรากับรุ่น W108 ซึ่งตัวรถก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เพราะรูปลักษณ์ที่ดูโดดเด่นและสะดุดตา อีกทั้งยังถือเป็นรถยนต์ระดับหรูรุ่นแรกที่ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์วี8มาจากโรงงาน และทำตลาดทั้งรุ่นฐานล้อธรรมดา และรุ่นฐานล้อยาว
1972 : จุดเริ่มต้นของการนำชื่อ เอส-คลาสมาใช้เกิดขึ้นในปีนี้กับรุ่น W116 โดย S-Class หรือ S-Klasse ในภาษาเยอรมัน มีความหมายในเชิงสื่อให้เห็นถึงความพิเศษของตัวรถที่แตกต่างจากรถยนต์รุ่นอื่นๆ โดย S ย่อมาจากคำว่า Special และมีการนับรถยนต์รุ่นนี้ให้เป็นเอส-คลาสรุ่นแรก
อย่างไรก็ตาม การสื่อด้วยคำว่า เอส-คลาสในตอนนั้นยังไม่มีความชัดเจนมากเท่าไร โดยการตั้งชื่อรุ่นรถยนต์ของเมอร์เซส-เบนซ์มักจะใช้ตัวเลขนำหน้าและตามด้วยด้วยตัวอักษร อย่าง 200 SE จนกระทั่งในปี 1991 จึงมีการเปลี่ยนแปลงให้นำตัวอักษรมานำหน้าตัวเลข เหมือนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับ W116 ถือเป็นรถยนต์ที่มีความล้ำสมัยไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ เช่นเดียวกับการติดตั้งดิสก์เบรก ซึ่งตัวรถได้รับความนิยมอย่างมากตลอด 8 ปีที่อยู่ในตลาด โดยสามารถกวาดยอดขายไปได้ 473,000 คันโดยประมาณ เช่นเดียวกับรุ่น 450SE ได้รับเลือกให้คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1974
1979 : เบนซ์เดินหน้ารุกตลาดหรูอีกครั้งกับโมเดลเชนจ์ในรหัส W126 ซึ่งเป็นเอส-คลาสที่คนไทยคุ้นเคยกันดี โดยมีขาย 2 ตัวถังทั้งซีดานและคูเป้ ซึ่งนอกจากหน้าตาที่ล้ำสมัย และมีรูปทรงที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความเพรียวลมมากขึ้นแล้ว เอส-คลาสรุ่นนี้ยังมีการเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัย (ในยุคนั้น) เช่น การติดตั้งระบบถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับที่เบนซ์พัฒนามาตั้งแต่ปี 1971 ก่อนที่จะมีการติดตั้งฝั่งคนนั่งหน้าเพิ่มเติมเป็นแบบคู่หน้าในปี 1988
สำหรับทางเลือกของเครื่องยนต์มีมากมายทั้งแบบ 6 สูบเรียงเบนซิน และเทอร์โบดีเซลไปจนถึงพวกบล็อกใหญ่แบบวี8 โดย W126 ทำตลาดจนกระทั่งถึงปี 1992 จึงยุติบทบาทลง โดยมีการทำตลาดคร่อมกับโฉมใหม่ในรหัส W140 อยู่ช่วงหนึ่ง
1991 : W140 เป็นเอส-คลาสรุ่นใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาแทนที่และมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะในแง่ของการยกระดับภาพลักษณ์แห่งความหรูหรา และความทันสมัย จนกระทั่งถูกมองว่าเป็นเอส-คลาสที่มีรูปร่างเทอะทะที่สุด แต่ถึงกระนั่นก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยตลอดช่วง 7 ปีที่อยู่ในตลาดจนถึงปี 1998 นั้น สามารถขายไปได้ราวๆ 432,000 คันทั่วโลก
ในช่วงแรกของการทำตลาด รหัสรุ่นจะถูกเรียกในแบบเดิมๆ คือ 500SE แต่พอถึงปี 1993 เบนซ์ปรับปรุงการเรียกชื่อรุ่นใหม่ โดยนำตัวอังกฤษของคลาสรถมานำหน้าและตามด้วยตัวเลข 3 หลัก นอกจากนั้น W140 ยังถือเป็นเอส-คลาสรุ่นแรกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์บล็อกใหญ่จากโรงงาน โดยมาพร้อมกับขุมพลังวี12 ที่มีความจุ 6,000 ซีซี
1998 : เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสายพันธุ์เอส-คลาส เพราะนอกจากจะเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยสุดไฮเทคที่สุดเท่าที่เคยมีมา (ในตอนนั้น) ยังถือเป็นเอส-คลาสที่มีการปรับแนวทางการออกแบบ และหันมาสร้างสรรค์รถยนต์ระดับหรูหราให้มีความปราดเปรียว และเพรียวลมขึ้น
W220 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของเบนซ์ที่นำการออกแบบสไตล์ใหม่มาใช้ ซึ่งแนวทางนี้จะถูกกำหนดให้เป็นรูปแบบที่จะนำมาใช้กับการสร้างสรรค์รูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์จากค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นต่อไปๆ ที่จะผลิตออกสู่ตลาดในอนาคต
นอกจากนั้น จากเดิมที่เอส-คลาสมักจะมีตัวถังคูเป้วางขายควบคู่กัน สำหรับในรุ่นนี้ การพัฒนาของตัวรถถูกแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด และรุ่นคูเป้จะถูกสร้างสรรค์ให้เป็นรถสปอร์ตอย่างแท้จริงมากกว่าที่จะเป็นรถยนต์ระดับหรูคันโตแบบ 2 ประตูอย่างที่เคยเป็น พร้อมกับเปลี่ยนมาใช้รหัสรุ่นว่า CL-Class
ในแง่ของความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี เบนซ์นำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจเข้ามาติดตั้งใน W220 ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่างแบบถุงลมปรับระดับได้, เบาะที่ติดตั้งระบบระบายอากาศ, ระบบ COMMAND, ระบบ DISTRONIC ตรวจสอบระยะห่างระหว่างรถคันหน้าด้วยการใช้เรดาร์ที่ติดตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของตัวรถ และระบบ Pre-Safe ซึ่งช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งในรุ่นนี้จะมีทั้งระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 5 หรือ 7 จังหวะ เช่นเดียวกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ 4 ล้อ 4MATIC ให้เลือกใช้
2005 : W221 ถูกเปิดตัวออกมาพร้อมกับการคาดหวังว่าจะเป็นรถธงของค่ายที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย และก็ไม่ผิดหวัง เพราะเบนซ์ติดตั้งทั้งระบบ Night Vision ที่ใช้อินฟาเรดในการตรวจจับคนเดินถนน เพื่อความปลอดภัยในขณะขับยามค่ำคืน ระบบ Pre-Collision ที่ได้รับการยกระดับและพัฒนาการทำงานให้เหนือระดับขึ้นจากเทคโนโลยี Pre-Safe รวมถึงการติดตั้งไฟหน้าแบบ Daytime Running Light ในปี 2009 เมื่อถึงเวลาของการปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์
นอกจากนั้น เบนซ์ยังนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริดเป็นครั้งแรกกับรุ่น S400HYBRID เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์ระดับหรูที่มีความประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมดเป็นข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงความเป็นมา-เป็นไป ของรถหรูหรา เมอร์เซเดส-เบนซ์ คงทำให้ผู้อ่านรู้จักเจ้า เอส- คลาส กันไม่มากก็น้อย
โปรดติดตาม เอส-คลาส โฉมใหม่ ในตอนต่อไป
แม้ชื่อของเอส-คลาสจะเพิ่งเป็นที่รู้จักกันไม่นานในปี 1972 แต่ทว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็รุกตลาดรถยนต์ระดับหรูมาแล้วก่อนหน้านี้ด้วยยานยนต์ที่เพียบพร้อม สิ่งที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในทุกๆ ด้าน และรถยนต์เหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเบนซ์ในการปูทางไปสู่ตลาดในกลุ่ม ไฮเอนด์ ซึ่งเป็นรากฐานที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นสายพันธุ์เอส-คลาสในที่สุด
1954 : ก่อนหน้านี้ประมาณสักเกือบ 50 ปี เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งเน้นในการทำตลาดรถยนต์ระดับหรูเป็นหลัก และไม่ได้มีทางเลือกที่หลากหลายเหมือนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การแยกแยะว่ารถยนต์รุ่นไหนอยู่ในตลาดระดับไหนจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้กลับมาดำเนินกิจการในการรุกตลาดรถยนต์ ก็มีความเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นเดียวกับการแบ่งตลาดอย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งตรงนี้ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถจำแนกตลาดรถยนต์แต่ละรุ่นที่จะเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และนั่นได้นำไปสู่การเปิดตัวรถยนต์ใหม่ในรหัส W180 และ W128 ในปี 1954 ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสายพันธุ์ เอส-คลาส
ทั้ง 2 รุ่นถูกเรียกด้วยชื่อ Ponton โดย W180 ถูกผลิตออกมาก่อนในช่วงระหว่างปี 1954-1957 และใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง จากนั้นในปี 1958 ก็มีการผลิตรุ่น W128 ออกมาทำตลาดแทนที่ และมีทางเลือกของตัวถังไม่ต่างกัน คือ มีทั้งซีดาน คูเป้ และเปิดประทุน
1959 : ในช่วงปลายอายุในการทำตลาดของ W128 เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เปิดตัวรถยนต์ระดับหรูรุ่นใหม่เพื่อออกมาทำตลาดทดแทน โดยใช้รหัสตัวถัง W111 และ W112 หรือถูกเรียกสั้นๆ วา Fintail ตามแบบแนวตัวถังตรงบริเวณไฟท้ายที่ตั้งสูงขึ้นมา และก็เช่นเดียวกันการทำตลาดมีให้เลือกหลากหลายตัวถังทั้งซีดาน คูเป้ และเปิดประทุน พร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบที่มีความจุตั้งแต่ 2,200-2,800 ซีซี และรุ่นใหญ่อย่างวี8 3,500 ซีซี
1965 : จากยุคของ Fintail มาสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ระดับหรูหรากับรุ่น W108 ซึ่งตัวรถก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เพราะรูปลักษณ์ที่ดูโดดเด่นและสะดุดตา อีกทั้งยังถือเป็นรถยนต์ระดับหรูรุ่นแรกที่ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์วี8มาจากโรงงาน และทำตลาดทั้งรุ่นฐานล้อธรรมดา และรุ่นฐานล้อยาว
1972 : จุดเริ่มต้นของการนำชื่อ เอส-คลาสมาใช้เกิดขึ้นในปีนี้กับรุ่น W116 โดย S-Class หรือ S-Klasse ในภาษาเยอรมัน มีความหมายในเชิงสื่อให้เห็นถึงความพิเศษของตัวรถที่แตกต่างจากรถยนต์รุ่นอื่นๆ โดย S ย่อมาจากคำว่า Special และมีการนับรถยนต์รุ่นนี้ให้เป็นเอส-คลาสรุ่นแรก
อย่างไรก็ตาม การสื่อด้วยคำว่า เอส-คลาสในตอนนั้นยังไม่มีความชัดเจนมากเท่าไร โดยการตั้งชื่อรุ่นรถยนต์ของเมอร์เซส-เบนซ์มักจะใช้ตัวเลขนำหน้าและตามด้วยด้วยตัวอักษร อย่าง 200 SE จนกระทั่งในปี 1991 จึงมีการเปลี่ยนแปลงให้นำตัวอักษรมานำหน้าตัวเลข เหมือนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับ W116 ถือเป็นรถยนต์ที่มีความล้ำสมัยไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ เช่นเดียวกับการติดตั้งดิสก์เบรก ซึ่งตัวรถได้รับความนิยมอย่างมากตลอด 8 ปีที่อยู่ในตลาด โดยสามารถกวาดยอดขายไปได้ 473,000 คันโดยประมาณ เช่นเดียวกับรุ่น 450SE ได้รับเลือกให้คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1974
1979 : เบนซ์เดินหน้ารุกตลาดหรูอีกครั้งกับโมเดลเชนจ์ในรหัส W126 ซึ่งเป็นเอส-คลาสที่คนไทยคุ้นเคยกันดี โดยมีขาย 2 ตัวถังทั้งซีดานและคูเป้ ซึ่งนอกจากหน้าตาที่ล้ำสมัย และมีรูปทรงที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความเพรียวลมมากขึ้นแล้ว เอส-คลาสรุ่นนี้ยังมีการเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัย (ในยุคนั้น) เช่น การติดตั้งระบบถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับที่เบนซ์พัฒนามาตั้งแต่ปี 1971 ก่อนที่จะมีการติดตั้งฝั่งคนนั่งหน้าเพิ่มเติมเป็นแบบคู่หน้าในปี 1988
สำหรับทางเลือกของเครื่องยนต์มีมากมายทั้งแบบ 6 สูบเรียงเบนซิน และเทอร์โบดีเซลไปจนถึงพวกบล็อกใหญ่แบบวี8 โดย W126 ทำตลาดจนกระทั่งถึงปี 1992 จึงยุติบทบาทลง โดยมีการทำตลาดคร่อมกับโฉมใหม่ในรหัส W140 อยู่ช่วงหนึ่ง
1991 : W140 เป็นเอส-คลาสรุ่นใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาแทนที่และมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะในแง่ของการยกระดับภาพลักษณ์แห่งความหรูหรา และความทันสมัย จนกระทั่งถูกมองว่าเป็นเอส-คลาสที่มีรูปร่างเทอะทะที่สุด แต่ถึงกระนั่นก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยตลอดช่วง 7 ปีที่อยู่ในตลาดจนถึงปี 1998 นั้น สามารถขายไปได้ราวๆ 432,000 คันทั่วโลก
ในช่วงแรกของการทำตลาด รหัสรุ่นจะถูกเรียกในแบบเดิมๆ คือ 500SE แต่พอถึงปี 1993 เบนซ์ปรับปรุงการเรียกชื่อรุ่นใหม่ โดยนำตัวอังกฤษของคลาสรถมานำหน้าและตามด้วยตัวเลข 3 หลัก นอกจากนั้น W140 ยังถือเป็นเอส-คลาสรุ่นแรกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์บล็อกใหญ่จากโรงงาน โดยมาพร้อมกับขุมพลังวี12 ที่มีความจุ 6,000 ซีซี
1998 : เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสายพันธุ์เอส-คลาส เพราะนอกจากจะเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยสุดไฮเทคที่สุดเท่าที่เคยมีมา (ในตอนนั้น) ยังถือเป็นเอส-คลาสที่มีการปรับแนวทางการออกแบบ และหันมาสร้างสรรค์รถยนต์ระดับหรูหราให้มีความปราดเปรียว และเพรียวลมขึ้น
W220 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของเบนซ์ที่นำการออกแบบสไตล์ใหม่มาใช้ ซึ่งแนวทางนี้จะถูกกำหนดให้เป็นรูปแบบที่จะนำมาใช้กับการสร้างสรรค์รูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์จากค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นต่อไปๆ ที่จะผลิตออกสู่ตลาดในอนาคต
นอกจากนั้น จากเดิมที่เอส-คลาสมักจะมีตัวถังคูเป้วางขายควบคู่กัน สำหรับในรุ่นนี้ การพัฒนาของตัวรถถูกแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด และรุ่นคูเป้จะถูกสร้างสรรค์ให้เป็นรถสปอร์ตอย่างแท้จริงมากกว่าที่จะเป็นรถยนต์ระดับหรูคันโตแบบ 2 ประตูอย่างที่เคยเป็น พร้อมกับเปลี่ยนมาใช้รหัสรุ่นว่า CL-Class
ในแง่ของความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี เบนซ์นำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจเข้ามาติดตั้งใน W220 ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่างแบบถุงลมปรับระดับได้, เบาะที่ติดตั้งระบบระบายอากาศ, ระบบ COMMAND, ระบบ DISTRONIC ตรวจสอบระยะห่างระหว่างรถคันหน้าด้วยการใช้เรดาร์ที่ติดตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของตัวรถ และระบบ Pre-Safe ซึ่งช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งในรุ่นนี้จะมีทั้งระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 5 หรือ 7 จังหวะ เช่นเดียวกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ 4 ล้อ 4MATIC ให้เลือกใช้
2005 : W221 ถูกเปิดตัวออกมาพร้อมกับการคาดหวังว่าจะเป็นรถธงของค่ายที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย และก็ไม่ผิดหวัง เพราะเบนซ์ติดตั้งทั้งระบบ Night Vision ที่ใช้อินฟาเรดในการตรวจจับคนเดินถนน เพื่อความปลอดภัยในขณะขับยามค่ำคืน ระบบ Pre-Collision ที่ได้รับการยกระดับและพัฒนาการทำงานให้เหนือระดับขึ้นจากเทคโนโลยี Pre-Safe รวมถึงการติดตั้งไฟหน้าแบบ Daytime Running Light ในปี 2009 เมื่อถึงเวลาของการปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์
นอกจากนั้น เบนซ์ยังนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริดเป็นครั้งแรกกับรุ่น S400HYBRID เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์ระดับหรูที่มีความประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมดเป็นข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงความเป็นมา-เป็นไป ของรถหรูหรา เมอร์เซเดส-เบนซ์ คงทำให้ผู้อ่านรู้จักเจ้า เอส- คลาส กันไม่มากก็น้อย
โปรดติดตาม เอส-คลาส โฉมใหม่ ในตอนต่อไป