แม้ว่าชื่อโปรเจกต์ e-tron ของออดี้จะวนเวียนอยู่ในโลกยานยนต์มานาน แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าผลผลิตจากโปรเจกต์นี้จะยังไม่กลายเป็นจริงสักที จนกระทั่งถึงคิวของผลผลิตล่าสุดที่ใช้รถยนต์คอมแพกต์ระดับหรูรุ่น A3 ในการทำต้นแบบ ซึ่งเมื่อดูโดยรวมแล้วมีโหงวเฮ้งดีที่จะกลายเป็นจริงในอนาคต
ชื่อของ e-tron เป็นที่รู้จักครั้งแรกกับต้นแบบพลังไฟฟ้าที่เปิดตัวในงานแฟรง์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 ซึ่งชื่อนี้ถูกนำมาใช้เพื่อระบุถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าหรือไฮบริดของออดี้ และทางออดี้เองก็มีการผลิตต้นแบบเวอร์ชันต่างๆ ออกมาจัดแสดงอย่างต่อเนื่อง ทว่าแต่ละคันที่นำมาอวดโฉมกลับมีหน้าตาล้ำสมัย จนเหมือนกับมีหน้าที่หลักอยู่แค่การโชว์ตัวอยู่บนเวที ยกเว้น A3 คันนี้ที่จะเปิดตัวในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2013 ช่วงต้นเดือนมีนาคม
ไฮไลต์เด่นของต้นแบบ e-tron คันนี้คือ การขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินแบบ 1,400 ซีซี TFSI ที่มีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 75 กิโลวัตต์ และทั้ง 2 ระบบจะทำหน้าที่ในการถ่ายทอดกำลังอย่างต่อเนื่อง โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้กำลังขับเคลื่อนสูงสุดในรอบช่วงต้นไม่เกิน 2,000 รอบ/นาที ขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในสามารถผลิตกำลังสูงสุดออกในช่วงระหว่าง 1,750-4,000 รอบ/นาที ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันจะสามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. อีกทั้งตัวรถยังสามารถเสียบปลั๊กชาร์จกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย
ในเรื่องอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวรถใช้เวลาเพียง 7.6 วินาทีในการทำอัตราเร่ง และมีความเร็วสูงสุด 222 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนในเรื่องอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ 1.5 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 66.66 กิโลเมตร/ลิตร มีการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับ 35 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร และส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่แบบ e-S Tronic แบบ 6 จังหวะ
ส่วนระบบการทำงานก็ไม่แตกต่างจากรถยนต์ไฮบริดทั่วไป ผู้ขับสามารถเลือกขับได้ทั้ง EV Mode หรือ Hybrid Mode ซึ่งในโหมดไฟฟ้า ตัวรถสามารถแล่นได้ในระยะทาง 50 กิโลเมตร และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนในโหมดไฮบริด เครื่องยนต์ TFSI จะตอบสนองการขับเคลื่อนที่เร้าใจ โดยที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเสริมในการขับเคลื่อนในบางครั้ง
ดูจากภาพรวมแล้ว โอกาสที่จะขึ้นไลน์ผลิตมีค่อนข้างสูง เพียงแต่ว่าออดี้จะเลือกเปิดตัวกับรถยนต์รุ่นไหนเท่านั้นเอง รวมถึงระบบจะมีความแตกต่างจากตัวต้นแบบมากน้อยแค่ไหนด้วย
อีกทั้งในปี 2015 จะเป็นปีที่ประเทศเยอรมนีให้ความสนใจกับรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า เพราะในปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการผลักดันให้มีประชากรรถยนต์ประเภทนี้บนท้องถนนในเยอรมนีให้เกิน 1 ล้านคันภายในปี 2020 และผลผลิตจากโปรเจกต์ e-tron ก็น่าจะมีส่วนร่วมด้วย