เงียบเหงามานานเพราะทางแอสตัน มาร์ตินมัวแต่ยุ่งอยู่กับการผลิตรถสปอร์ตในตระกูล DB ถึงตอนนี้เพิ่งจะมาว่างในการกระตุ้นตลาดให้กับสปอร์ตซีดานในตระกูลราปิด ด้วยการเพิ่มความเร้าใจกับขุมพลังที่มีความร้อนแรงขึ้น เพื่อหวังเพิ่มแต้มต่อในการแข่งขันกับคู่ปรับอย่างปอร์เช่ พานาเมรา, ออดี้ เอส7, บีเอ็มดับเบิลยู M6 แกรนด์ คูเป้ และเมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS63AMG
ถ้าจะให้นับแล้ว ราปิดถือเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดในการทำตลาดรถสปอร์ตซีดานระดับไฮเอนด์ที่ทั้งแรงและหรู โดยสมัยนั้นแอสตัน มาร์ติน ซึ่งยังอยู่ในเครือฟอร์ดได้เปิดตัวต้นแบบชื่อเดียวกันนี้ออกมาเมื่อปี 2006 แต่สุดท้ายกว่าจะผลิตออกมาได้ ก็ต้องรอกันนานจนถึงปี 2009 เพราะในช่วงนั้นฟอร์ดก็ยวบยาบเพราะปัญหาขาดทุนสะสม และแอสตัน มาร์ตินเองก็มีอนาคตไม่แน่นอนเนื่องจากมีข่าวว่ากำลังจะถูกขายกิจการออกจากเครือฟอร์ด
สำหรับเวอร์ชันเอสเป็นการเปิดตัวตามหลังการเปิดตัวรุ่นธรรมดาร่วม 3 ปี โดยมีไฮไลท์เด่นอยู่ที่เครื่องยนต์วี12 6,000 ซีซี ในรหัส AM11 ที่ได้รับการอัพเกรดความเร้าใจจากตัวเลขในระดับ 400 แรงม้ากลางๆ มาอยู่ในระดับ 550 แรงม้า ที่ 6,750 รอบ/นาที หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 17% เมื่อเปรียบเทียบกับของเดิม ขณะที่แรงบิดสูงสุดขยับจาก 61.1 กก.-ม. มาเป็น 63.2 กก.-ม. ที่ 5,000 รอบ/นาที
ผลลัพธ์ที่ได้จากแรงม้าที่เพิ่มขึ้นคือ อัตราเร่งที่ดีขึ้นถึง 0.3 วินาทีเมื่อดูจากการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียง 4.9 วินาทีเท่านั้น ส่วนความเร็วปลายอยู่ในระดับ 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้ว่าเครื่องยนต์บล็อกนี้จะได้รับการพัฒนาโดยหน่วยงานด้านมอเตอร์สปอร์ตอย่าง Aston Martin Racing แต่เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานบนท้องถนนก็ต้องมีความสนใจต่อเรื่องของการปล่อยก๊าซ Co2 และความประหยัดน้ำมัน
และที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก คือ เวอร์ชันเอส แม้ว่าจะมีแรงม้ามากกว่ารุ่นธรรมดา แต่ระดับการปล่อยก๊าซ Co2 ลดลงจาก 355 กรัมต่อ 1 กิโลเมตรมาอยู่ที่ 332 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร ส่วนความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจากการทดสอบตามโหมดของ EU อยู่ที่ 19.9 ไมล์/แกลลอน หรือ 8.1 กิโลเมตร/ลิตร ในการขับแบบผสมผสาน
นอกจากเครื่องยนต์แล้วในแง่อื่นๆ ก็มีการปรับปรุงด้วยเช่นกัน และอย่าคิดว่าเวอร์ชันเอสเป็นแค่การเพิ่มความแรงจากรุ่นปกติ เพราะตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ในรุ่นนี้ก็ลดลงจากรุ่นปกติอีก 19 มม. เพื่อประสิทธิภาพในการทรงตัว และการทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง
ขณะที่ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้ หรือ ADS-Adaptive Damping System ก็สามารถเลือกปรับค่าความหนืดของโช้กอัพให้สอดคล้องกับการขับขี่ โดยเลือกได้ 3 แบบ คือ Normal, Sport และ Track
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกก็มีการปรับปรุงจากรุ่นปกติอยู่พอสมควร ทั้งกระจังหน้าแบบใหม่เป็นลายตะแกรงซี่ถี่ๆ รวมถึงล้อแม็กลายใหม่ และมีชุดแต่งที่เป็น Carbon Exterior Package ให้กับลูกค้าได้เลือกใช้บริการเสริมหล่อด้วยสเกิร์ตคาร์บอนรอบคัน
ใครที่สนใจก็รีบเตรียมเงินไว้เลย (แต่ยังไม่บอกว่าราคาเท่าไร คาดว่าน่าจะเกิน 200,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 6 ล้านบาทมาอีกนิดหน่อย) เพราะการทำตลาดจะมีขึ้นใน 146 ดีลเลอร์ของแอสตัน มาร์ตินทั่วโลกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นี้