เปิดยุคใหม่เจ้าตลาดรถหรูเมืองไทย “เมอร์เซเดส-เบนซ์” วางแผนรุกตลาดคอมแพกต์หรู หวังขยายฐานลูกค้าหรือระดับ Entry Level ด้วยการปูพรมโปรดักต์ใหม่ที่ใช้พื้นฐานการพัฒนาจาก “เอ-คลาส” บนรูปแบบตัวถังหลากหลายทั้ง สปอร์ตคูเป้ เอสยูวี สเตชันแวกอน หรือนับรวมเปิดตัว 5 โมเดลภายใน 3 ปี
จากการประกาศของ“ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์” ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด ในงานแถลงข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า ภายในปี 2556 เตรียมเปิดตัวรถโมเดลใหม่และแบบเฟสลิฟท์(ไมเนอร์เชนจ์)อย่างน้อย 6 รุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีไฮไลต์สำคัญอย่าง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-300 ดีเซล ไฮบริด” ที่จะทำตลาดเสริมคู่ไปกับ “อี-คลาส เฟสลิฟท์” (W212) อย่างแน่นอน
ที่ผ่านมา “อี-คลาส” ถือเป็นรถที่ทำยอดขายมากที่สุดในตระกูลเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ขายดีกว่า ซี-คลาส) และน่าสนใจ หากมีการเสริมรุ่น“ไฮบริด”รูปแบบผสานการทำงานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ดีเซลจะได้รับการตอบรับจากตลาดดีขนาดไหน เพราะรถโมเดลนี้มีแผนขึ้นไลน์ประกอบในไทยเสียด้วย
ดังนั้นคงไม่ต้องห่วงอะไรมาก กับการทำตลาดอี-คลาสในประเทศไทย ที่มีทั้งภาพลักษณ์แบรนด์และคุณภาพโปรดักต์อันเข้มแข็ง หากแต่นับจากนี้ไป “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กำลังปรับทิศทางโปรดักต์-ทัศนคติในการทำตลาดลงมาในกลุ่มลูกค้าระดับ Entry Level พร้อมนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ที่ราคาสามารถซื้อหามาเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่งค่ายดาวสามแฉกเริ่มแล้วกับการนำ “เอ-คลาส ใหม่” มาเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012
สำหรับ “เอ-คลาส ใหม่” (W176) ฉีกแนวคิดการออกแบบไปจากสองเจเนอเรชันแรก โดยมุ่งไปที่รูปลักษณ์สปอร์ตแฮตช์แบ็กกระชากวัย ส่วนการขายในไทย(นำเข้าทั้งคัน)แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ A180 เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ122 แรงม้า และ A250 ที่วางเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 211 แรงม้า สนนราคา 1.89 และ 2.49 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรถคันจริงพร้อมส่งมอบช่วงเดือนเมษายนนี้
“เอ-คลาสใหม่ ได้การตอบรับดีมาก ยอดจองมีเข้ามาเกินความคาดหมาย แต่คงไม่สามารถบอกตัวเลขได้ เพราะจะมีผลต่อการนำข้อมูลไปใช้ในการทำตลาดของคู่แข่ง” มาร์ทิน ชูลซ์ รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและว่า
“แน่นอนว่า ซี-คลาส อี-คลาส เอส-คลาส ยังเป็นโปรดักต์หลักของเมอร์เซเดส-เบนซ์เหมือนเดิม แต่เราคาดว่าในอนาคตเซกเมนต์คอมแพกต์คาร์จะขยายตัวมากขึ้น โดยเตรียมแผนมุ่งไปในทิศทางดังกล่าวด้วยโปรดักต์อย่าง เอ-คลาส ใหม่ จากนั้นจะตามมาด้วย ซีแอลเอ-คลาส เพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมสื่อสารการตลาดแบบเน้นความสปอร์ต สนุกสนาน ไลฟ์สไตล์ แฟชั่นที่ไม่น่าเบื่อ”
มาร์ทิน ชูลซ์ ยังเปิดเผยว่า แพลตฟอร์มของ“เอ-คลาส”จะเป็นหลักในการพัฒนารถคอมแพกต์รุ่นใหม่ ที่ภายใน 3 ปีนี้จะเปิดตัวรวมกันถึง 5 รุ่น
….ชัดเจนจากปากรองประธานฝ่ายขายและการตลาด ที่จากนี้ไปรถกลุ่มคอมแพกต์ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ “เอ-คลาส” จะมีบทบาทในเมอร์เซเดส-เบนซ์มากขึ้น หรือเป็นหลักในการทำตลาดในช่วง 3 ปีนี้
อย่างไรก็ตามหากพิจารณารถระดับคอมแพกต์ 5 โมเดลที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ“เอ-คลาส ใหม่”แล้ว ถ้านับกันจริงๆต้องเริ่มจาก “บี-คลาส ใหม่”(W246) ที่เปิดตัวในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2012 โดยเป็นรถอเนกประสงค์แบบ “มินิแวน” (ขับเคลื่อนล้อหน้า)วางเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ 156 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ B200 BlueEFFICIENCY ราคา 2.399 ล้านบาท และ B200 BlueEFFICIENCY Sports ราคา 2.499 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อรวมกับ “เอ-คลาส ใหม่” ที่เปิดตัวในปีเดียวกัน จึงถือว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ เริ่มขายคอมแพกต์คาร์โปรเจกต์นี้ไปแล้ว 2 รุ่น
ส่วนรถยนต์ 3 รุ่นที่เหลือ จะเริ่มด้วย “ซีแอลเอ-คลาส” (CLA-Class)ซีดาน 4 ประตูสไตล์คูเป้ ที่ยึดเส้นสายมาจากรุ่นใหญ่อย่าง “ซีแอลเอส- คลาส” หรือจะเรียกว่าเป็น “เบบี้ ซีแอลเอส” ก็ไม่ผิด
โดย “ซีแอลเอ-คลาส” มีระดับการทำตลาดสูงกว่า“เอ-คลาส”อยู่นิดๆ ดังนั้นราคาจึงแพงกว่าอย่างน้อย1-2 แสนบาท เมื่อเทียบในระดับเครื่องยนต์เดียวกัน ส่วนการเปิดตัวจะมีขึ้นอย่างเร็วช่วงกลางปีนี้
ทั้งนี้การเปิดตัวของ “ซีแอลเอ-คลาส” น่าจะมีผลกับยอดขายของ “ซี-คลาส” (W204) ที่เข้าสู่ปลายอายุโมเดลพอสมควร ด้วยความสดใหม่กว่าประกอบกับขนาดตัวถังและราคาใกล้เคียงกัน
ทั้งหลายทั้งปวงของความลักลั่น จะหายไปเมื่อ“ซี-คลาส ใหม่”โมเดลเชนจ์เปิดตัวในปี 2557 กับรูปลักษณ์ใหม่-ตัวถังขยายใหญ่ขึ้น เวลานั้นถึงจะเห็นความแตกต่างชัดเจน
อีกรุ่นที่ใช้พื้นฐานการพัฒนาเดียวกับ “เอ-คลาส” คงหนีไม่พ้นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ประเทศเยอรมนี ประกาศแผนงานและการลงทุนไปแล้ว โดยเอสยูวีรุ่นนี้พร้อมเปิดตัว 2557 ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ “บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์วัน” (BMW X1)
ก่อนปิดท้ายด้วยรุ่นที่ 5 ตามแผนคือ รถทรงสเตชันแวกอน (เอสแตท) ที่มาในรูปแบบเดียวกับ “ซีแอลเอ-คลาส” คือยึดเส้นสายการออกแบบมาจาก “ซีแอลเอส ชูตติ้งเบรก” (CLS Shooting Brake) ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย นำเข้ามาขายช่วงปลายปีที่แล้ว
โดย “ซีแอลเอส ชูตติ้งเบรก” ออกแบบอย่างโดดเด่น ด้วยลายเส้นที่โค้งมนตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า โครงกระจกด้านข้างแบบไร้ขอบ ไปจนถึงหลังคาที่ลาดลงต่อเนื่องจรดด้านท้ายของตัวรถ พร้อมความอเนกประสงค์กับห้องเก็บสัมภาระที่มีความจุตั้งแต่ 590 จนถึง 1,550 ลิตร ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.1 ลิตร204 แรงม้า สนนราคา 4.99 ล้านบาท ในรุ่นCLS 250 CDI Shooting Brake Exclusive และ 5.39 ล้านบาท กับCLS 250 CDI Shooting Brake AMG Premium
...แน่นอนว่า “เบบี้ ซีแอลเอส ชูตติ้งเบรก” ที่ภาษาการออกแบบเดียวกัน แต่มีขนาดตัวและขุมพลังย่อมลงมา ราคาขายจะน่าคบหากว่านี้แน่นอน
นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ หลังหลับเงียบมานาน ด้วยคอมแพกต์คาร์ 5 โมเดล ไล่เรียงตั้งแต่ มินิแวน(บี-คลาส) ,สปอร์ตแฮตช์แบ็ก (เอ-คลาส) สปอร์ตคูเป้ 4 ประตู” (ซีแอลเอ-คลาส) รวมถึง“เอสยูวี” และ“สเตชันแวกอน” ….จากนี้ไปตลาดรถหรูระอุแน่นอน
จากการประกาศของ“ดร.อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์” ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด ในงานแถลงข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า ภายในปี 2556 เตรียมเปิดตัวรถโมเดลใหม่และแบบเฟสลิฟท์(ไมเนอร์เชนจ์)อย่างน้อย 6 รุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีไฮไลต์สำคัญอย่าง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-300 ดีเซล ไฮบริด” ที่จะทำตลาดเสริมคู่ไปกับ “อี-คลาส เฟสลิฟท์” (W212) อย่างแน่นอน
ที่ผ่านมา “อี-คลาส” ถือเป็นรถที่ทำยอดขายมากที่สุดในตระกูลเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ขายดีกว่า ซี-คลาส) และน่าสนใจ หากมีการเสริมรุ่น“ไฮบริด”รูปแบบผสานการทำงานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ดีเซลจะได้รับการตอบรับจากตลาดดีขนาดไหน เพราะรถโมเดลนี้มีแผนขึ้นไลน์ประกอบในไทยเสียด้วย
ดังนั้นคงไม่ต้องห่วงอะไรมาก กับการทำตลาดอี-คลาสในประเทศไทย ที่มีทั้งภาพลักษณ์แบรนด์และคุณภาพโปรดักต์อันเข้มแข็ง หากแต่นับจากนี้ไป “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กำลังปรับทิศทางโปรดักต์-ทัศนคติในการทำตลาดลงมาในกลุ่มลูกค้าระดับ Entry Level พร้อมนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ที่ราคาสามารถซื้อหามาเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่งค่ายดาวสามแฉกเริ่มแล้วกับการนำ “เอ-คลาส ใหม่” มาเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012
สำหรับ “เอ-คลาส ใหม่” (W176) ฉีกแนวคิดการออกแบบไปจากสองเจเนอเรชันแรก โดยมุ่งไปที่รูปลักษณ์สปอร์ตแฮตช์แบ็กกระชากวัย ส่วนการขายในไทย(นำเข้าทั้งคัน)แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ A180 เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ122 แรงม้า และ A250 ที่วางเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 211 แรงม้า สนนราคา 1.89 และ 2.49 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรถคันจริงพร้อมส่งมอบช่วงเดือนเมษายนนี้
“เอ-คลาสใหม่ ได้การตอบรับดีมาก ยอดจองมีเข้ามาเกินความคาดหมาย แต่คงไม่สามารถบอกตัวเลขได้ เพราะจะมีผลต่อการนำข้อมูลไปใช้ในการทำตลาดของคู่แข่ง” มาร์ทิน ชูลซ์ รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและว่า
“แน่นอนว่า ซี-คลาส อี-คลาส เอส-คลาส ยังเป็นโปรดักต์หลักของเมอร์เซเดส-เบนซ์เหมือนเดิม แต่เราคาดว่าในอนาคตเซกเมนต์คอมแพกต์คาร์จะขยายตัวมากขึ้น โดยเตรียมแผนมุ่งไปในทิศทางดังกล่าวด้วยโปรดักต์อย่าง เอ-คลาส ใหม่ จากนั้นจะตามมาด้วย ซีแอลเอ-คลาส เพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมสื่อสารการตลาดแบบเน้นความสปอร์ต สนุกสนาน ไลฟ์สไตล์ แฟชั่นที่ไม่น่าเบื่อ”
มาร์ทิน ชูลซ์ ยังเปิดเผยว่า แพลตฟอร์มของ“เอ-คลาส”จะเป็นหลักในการพัฒนารถคอมแพกต์รุ่นใหม่ ที่ภายใน 3 ปีนี้จะเปิดตัวรวมกันถึง 5 รุ่น
….ชัดเจนจากปากรองประธานฝ่ายขายและการตลาด ที่จากนี้ไปรถกลุ่มคอมแพกต์ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ “เอ-คลาส” จะมีบทบาทในเมอร์เซเดส-เบนซ์มากขึ้น หรือเป็นหลักในการทำตลาดในช่วง 3 ปีนี้
อย่างไรก็ตามหากพิจารณารถระดับคอมแพกต์ 5 โมเดลที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ“เอ-คลาส ใหม่”แล้ว ถ้านับกันจริงๆต้องเริ่มจาก “บี-คลาส ใหม่”(W246) ที่เปิดตัวในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2012 โดยเป็นรถอเนกประสงค์แบบ “มินิแวน” (ขับเคลื่อนล้อหน้า)วางเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ 156 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ B200 BlueEFFICIENCY ราคา 2.399 ล้านบาท และ B200 BlueEFFICIENCY Sports ราคา 2.499 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อรวมกับ “เอ-คลาส ใหม่” ที่เปิดตัวในปีเดียวกัน จึงถือว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ เริ่มขายคอมแพกต์คาร์โปรเจกต์นี้ไปแล้ว 2 รุ่น
ส่วนรถยนต์ 3 รุ่นที่เหลือ จะเริ่มด้วย “ซีแอลเอ-คลาส” (CLA-Class)ซีดาน 4 ประตูสไตล์คูเป้ ที่ยึดเส้นสายมาจากรุ่นใหญ่อย่าง “ซีแอลเอส- คลาส” หรือจะเรียกว่าเป็น “เบบี้ ซีแอลเอส” ก็ไม่ผิด
โดย “ซีแอลเอ-คลาส” มีระดับการทำตลาดสูงกว่า“เอ-คลาส”อยู่นิดๆ ดังนั้นราคาจึงแพงกว่าอย่างน้อย1-2 แสนบาท เมื่อเทียบในระดับเครื่องยนต์เดียวกัน ส่วนการเปิดตัวจะมีขึ้นอย่างเร็วช่วงกลางปีนี้
ทั้งนี้การเปิดตัวของ “ซีแอลเอ-คลาส” น่าจะมีผลกับยอดขายของ “ซี-คลาส” (W204) ที่เข้าสู่ปลายอายุโมเดลพอสมควร ด้วยความสดใหม่กว่าประกอบกับขนาดตัวถังและราคาใกล้เคียงกัน
ทั้งหลายทั้งปวงของความลักลั่น จะหายไปเมื่อ“ซี-คลาส ใหม่”โมเดลเชนจ์เปิดตัวในปี 2557 กับรูปลักษณ์ใหม่-ตัวถังขยายใหญ่ขึ้น เวลานั้นถึงจะเห็นความแตกต่างชัดเจน
อีกรุ่นที่ใช้พื้นฐานการพัฒนาเดียวกับ “เอ-คลาส” คงหนีไม่พ้นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ประเทศเยอรมนี ประกาศแผนงานและการลงทุนไปแล้ว โดยเอสยูวีรุ่นนี้พร้อมเปิดตัว 2557 ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ “บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์วัน” (BMW X1)
ก่อนปิดท้ายด้วยรุ่นที่ 5 ตามแผนคือ รถทรงสเตชันแวกอน (เอสแตท) ที่มาในรูปแบบเดียวกับ “ซีแอลเอ-คลาส” คือยึดเส้นสายการออกแบบมาจาก “ซีแอลเอส ชูตติ้งเบรก” (CLS Shooting Brake) ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย นำเข้ามาขายช่วงปลายปีที่แล้ว
โดย “ซีแอลเอส ชูตติ้งเบรก” ออกแบบอย่างโดดเด่น ด้วยลายเส้นที่โค้งมนตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า โครงกระจกด้านข้างแบบไร้ขอบ ไปจนถึงหลังคาที่ลาดลงต่อเนื่องจรดด้านท้ายของตัวรถ พร้อมความอเนกประสงค์กับห้องเก็บสัมภาระที่มีความจุตั้งแต่ 590 จนถึง 1,550 ลิตร ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.1 ลิตร204 แรงม้า สนนราคา 4.99 ล้านบาท ในรุ่นCLS 250 CDI Shooting Brake Exclusive และ 5.39 ล้านบาท กับCLS 250 CDI Shooting Brake AMG Premium
...แน่นอนว่า “เบบี้ ซีแอลเอส ชูตติ้งเบรก” ที่ภาษาการออกแบบเดียวกัน แต่มีขนาดตัวและขุมพลังย่อมลงมา ราคาขายจะน่าคบหากว่านี้แน่นอน
นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ หลังหลับเงียบมานาน ด้วยคอมแพกต์คาร์ 5 โมเดล ไล่เรียงตั้งแต่ มินิแวน(บี-คลาส) ,สปอร์ตแฮตช์แบ็ก (เอ-คลาส) สปอร์ตคูเป้ 4 ประตู” (ซีแอลเอ-คลาส) รวมถึง“เอสยูวี” และ“สเตชันแวกอน” ….จากนี้ไปตลาดรถหรูระอุแน่นอน