กระแสความนิยมในตลาดรถยนต์ไทย คงต้องยกให้กับกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ หรือซับคอมแพ็กต์ ขณะเดียวกันยังมีรถยนต์ไฮบริดเข้ามาเสริมเป็นอีกทางเลือก โดยบรรดารถเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้ค่ายรถหรูเริ่มมองเห็นทิศทางดังกล่าว และตัดสินใจโดดลงมาเปิดแนวรบเก๋งหรูขนาดเล็ก เพื่อตอบสนองบรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักประเภท New Entry ทั้งหลาย พร้อมกับเพิ่มทางเลือกรถไฮบริดให้กับฐานลูกค้าเดิม ที่ต้องการยกระดับขึ้นไปอีก ดังนั้นจากนี้ไปจะเริ่มเห็นการขยับตัวของค่ายรถหรูในไทย โดยเฉพาะค่ายตราดาว “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ที่เตรียมจัดหนักปลายปีนี้ ส่วนคู่แข่ง “บีเอ็มดับเบิลยู” ที่ได้มีการชิมลางไปบางรุ่นก่อน พร้อมที่จะแลกหมัดเช่นกัน
ทั้งนี้มีรายงานว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เตรียมเปิดตัวรถใหม่ 2-3 รุ่นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี เพื่อรับงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 โดยการรุกตลาดครั้งนี้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ค่อนข้างจะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะจะเป็นการเปิดแนวรุกตลาดเก๋งหรูขนาดคอมแพ็กต์ หรือรุ่นเล็กของตลาดรถหรู ด้วยการนำรถยนต์ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส” กลับเข้ามาทำตลาดในไทย พร้อมกับนำรถไฮบริดเข้ามาเสริมทัพ เพื่อเดินหน้าตามแผนเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการใช้เทคโนโลยี BluEFFICIENCY และรถยนต์ใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติ (CNG) หรือที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เรียกรถเทคโนโลยีพลังงานนี้ว่า NGT
โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส ไม่ใช่การทำตลาดครั้งแรกในตลาดไทย เพราะอดีตได้มีการขึ้นไลน์ประกอบรถรุ่นนี้ในไทยมาแล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์และบุคลิกที่ไม่แตกต่างจากรถเล็กญี่ปุ่นมากนัก ประกอบกับกระแสรถเล็กยังขยายตัวเข้าสู่ตลาดรถหรูไม่มากนัก ทำให้การทำตลาดเอ-คลาสในครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ และต้องยุติการทำตลาดไปในที่สุด
แต่เอ-คลาสเจนเนอเรชัน 3 รุ่นใหม่ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ปรับรูปลักษณ์และบุคลิกให้มีความเป็นสปอร์ตแฮตช์แบ็กชัดเจน จึงน่าจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคคนรุ่นใหม่กระเป๋าหนัก ที่มีความแตกต่างจากรถตลาดทั่วไป ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ตัดสินใจนำรถรุ่นนี้กลับมาทำตลาดอีกครั้ง โดยเบื้องต้นปลายปีนี้จะเป็นการนำเข้าสำเร็จจากต่างประเทศมาก่อน และจากนั้นจะมีการพิจารณาขึ้นไลน์ประกอบในไทยต่อไป
ในส่วนของกำหนดการเปิดตัวประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยรถที่นำมาทำตลาดในต่างประเทศ จะมีหลากหลายรุ่นทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล แต่ในไทยเบื้องต้นจะเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ A180 เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ 122 แรงม้า และ A250 วางเครื่อง 2.0 ลิตร 211 แรงม้า โดยราคาเริ่มต้นจะเปิดของ A180อยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเป็นราคาที่จะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างมาก ส่วน A250 ราคาสองล้านอัพอยู่แล้ว
การส่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสสู่ตลาดครั้งนี้ ถือเป็นเพียงก้าวแรกในการรุกตลาดหรูเล็กของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะมีรายงานว่าเป้าหมายจริงอยู่ที่ตัวธง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLA” เก๋งสปอร์ตซีดานคอมแพ็กต์ หรือรุ่น 4 ประตู ซึ่งออกแบบในไสตล์คูเป้ พัฒนามาจากรถต้นแบบ CSC (Concept Style Coupe) ที่ได้เผยโฉมในงานปักกิ่งออโตโชว์ 2012 ที่ผ่านมา โดยจะใช้แพลตฟอร์มเดียวกับรุ่นเอ-คลาส และจากรูปลักษณ์จะเห็นว่ามีส่วนผสมอยู่อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับเครื่องยนต์คาดว่าจะเป็นบล็อกเดียวกันด้วย โดยกำหนดทำตลาดของรถรุ่นนี้ที่ต่างประเทศจะเริ่มในปี 2556 และในไทยคงจะตามมาติดๆ แน่นอน
สำหรับ CLA จะว่าไปก็เป็นน้องเล็กของ CLS ซึ่งเป็นรถสปอร์ตซีดานไสตล์คูเป้ และในการเปิดตัวรถใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการเปิดตัว เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS ซึ่งถือเป็นไฮไลต์สำคัญอีกรุ่น โดยจะเป็นการโดดลงท้าชนกับเกรย์มาร์เก็ต ที่กำลังขายดิบขายดีกับรุ่น CLS250 แน่นอนว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ต้องเล่นสงครามราคาเพื่อทุบให้ตาย หลังจากออกมาตรการงดรับบริการรถที่ซื้อจากเกรย์มาร์เก็ตไปแล้ว
นอกจากเก๋งหรูระดับเล็ก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังเปิดเกมรุกใหม่สู่รถไฮบริด โดยกำลังพิจารณานำรถยนต์ไฮบริดมาทำตลาดในไทย ซึ่งรถยนต์ไฮบริดถือเป็นอีกนโยบายสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ที่จะผลักดันให้รถยนต์คลาสหลักๆ ต้องมีเวอร์ชั่นไฮบริดทำตลาด และปัจจุบันมีทั้งในตัว ML Hybrid และ S400 Hybrid หรือที่เพิ่งเปิดตัวกับสองไฮบริดในตระกูลอี-คลาส เป็นรุ่น E400 Hybrid และ E300 BluTEC Hybrid
แน่นอนหากไม่มีปัญหาอะไร คาดว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะนำรถไฮบริดมาเผยโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 ธันวาคมที่จะถึงนี้ และน่าจะเป็นรุ่นในตระกูลอี-คลาสลำดับแรก ระหว่าง E300 BluTEC Hybrid ที่วางเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 27 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 4.2 ลิตร/100 กิโลเมตร สำหรับอัตราการคายไอเสียคือ 109 กรัม/กิโลกรัม และรุ่น E400 Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร ขนาด 302 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ขนาดเดียวกับของ E300 BlueTEC ซึ่งอัตราการกินน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 8.7 ลิตร/100 กิโลกรัม
การขยับในเรื่องนี้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังเป็นการเปิดเกมท้าชนกับคู่แข่งสำคัญ “บีเอ็มดับเบิลยู” ที่งานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2012 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้นำรถหรู “บีเอ็มดับเบิลยู ActiveHybrid 5” หรือซีรี่ส์ 5 เวอร์ชั่นไฮบริดมาเผยโฉม ซึ่งวางเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ แถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จนให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร โดยปัจจุบันเปิดราคาจำหน่ายที่ 5.399 ล้านบาท
ขณะที่รถหรูเล็กบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย กำลังมีการพิจารณานำเข้ามาทำตลาดเช่นกัน โดยจะเป็นการนำบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 1 เข้ามาทำตลาด ซึ่งถือเป็นคู่แข่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส แต่ซีรีส์ 1 มีตัวถังให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแฮทช์แบ็ก 3 และ 5 ประตู รวมถึงรุ่นคูเป้และเปิดประทุน นอกจากนี้ในต่างประเทศก็มีความเคลื่อนไหว บีเอ็มดับเบิลยูกำลังจะพัฒนาซีรี่ส์ 1 คูเป้ ให้กลายเป็นโมเดลใหม่ หรือซีรีส์ 2 เพื่อชนกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ CLA อีกด้วย
เรียกว่า… ไม่ว่าจะเป็นตลาดรถหรูเล็ก หรือไฮบริด สองค่ายรถหรูคู่แข่งสำคัญพร้อมแลกกันหมัดต่อหมัดเลยทีเดียว ซึ่งไม่เพียงในต่างประะเทศ สังเวียนในไทยก็ใกล้เปิดฉากแล้วเช่นกัน!!