ข่าวในประเทศ - “โตโยต้า” ฟันธง! ตลาดรถปีนี้สร้างสถิติใหม่ 1.2 ล้านคัน หรือเติบโตกว่า 50% เฉพาะโตโยต้าพุ่งพรวด จนต้องปรับเป้าขายและผลิตเพิ่มสูงสุด จากปัจจัยหนุนทุกด้าน รวมถึงนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล ที่มีสัดส่วนมากถึง 50% ของยอดจองรถในเงื่อนไข แต่จะส่งผลไปดูดกำลังซื้อปีหน้า ทำให้ภาพรวมตลาดรถปี 2556 น่าจะโตเพียง 10%
นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ครึ่งแรกของปีนี้ได้สร้างสถิติใหม่ ด้วยยอดขายสูงสุด 6.06 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 40.4% โดยมีการขยายตัวในทุกตลาดรถยนต์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่เลื่อนมาจากช่วงอุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ และกำลังการผลิตที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติและเริ่มเพิ่มขึ้น
“ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ยังจะส่งผลต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะโครงการรถคันแรกของรัฐบาล ดังนั้นจึงคาดว่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ไทยปีนี้ สามารถสร้างสถิติใหม่เป็น 1.2 ล้านคัน จากเดิมประเมินไว้เมื่อต้นปี อยู่ที่ประมาณกว่า 1.1 ล้านคัน แต่ก็มีผลลบจากนโยบายรถคันแรกที่จะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้ เพราะจะไปดึงกำลังซื้อในปีหน้า ทำให้ภาพรวมตลาดในปี 2556 น่าจะเติบโตเพียง 10%”
ทั้งนี้โครงการรถคันแรกนับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ต่อการผลักดันให้ตลาดรถปีนี้เติบโตขึ้นมาก เห็นได้จากรถยนต์โตโยต้า วีออส และรุ่นยาริส ซึ่งเป็นอีกโมเดลหลักของโตโยต้า มียอดจองซื้อภายใต้โครงการรถคันแรกมากกว่า 50% ทำให้เชื่อว่ายี่ห้ออื่นๆ น่าจะไม่แตกต่างกัน และกลุ่มนี้ถือเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์นั่ง หรือเก๋ง แต่หากรัฐบาลเลื่อนโครงการออกไป จากเดิมต้องจองและจดทะเบียนภายในปีนี้ เลื่อนระยะเวลาส่งมอบและจดทะเบียนออกไปอีก 6 เดือน ตรงนี้จะส่งผลดีตลาดรถยนต์ในปีหน้า แต่คงไม่ได้ทำให้เพิ่มมากนัก เพราะตลาดอยู่ในสภาวะปกติก็จะเติบโตกว่า 10% เท่านั้น
นายทานาดะกล่าวว่า ในส่วนของโตโยต้าสามารถทำยอดขายช่วงครึ่งแรกของปีนี้ 2.41 แสนคัน เพิ่มขึ้น 50.3% และเมื่อรวมกับยอดขายครึ่งหลังของปีนี้ โตโยต้าคาดว่าจะมียอดขายรวมปรับเพิ่มเป็น 4.8 แสนคัน หรือเติบโต 65.1% ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จากปัจจุบันที่มียอดค้างส่งมอบเฉลี่ย 3-4 เดือน แต่ในเร็วๆ นี้จะเหลือประมาณ 1-2 เดือน ยกเว้นโตโยต้า วีออส และยาริส รวมถึงโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ที่คงจะรอนานกว่านั้นเล็กน้อย
“นับเป็นสถิติใหม่ของโตโยต้า เช่นเดียวกับการผลิตจาก 3 โรงงานในไทยปีนี้ ที่คาดว่ารวมทั้ง 3 โรงงาน จะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 8.65 แสนคัน ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมประเมินไว้เมื่อต้นปีที่ 8.1 แสนคัน หรือมากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 3 แสนคัน ซึ่งมาจากการตอบรับของผู้บริโภค ทั้งตลาดในไทยและส่งออกต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรง รวมถึงเรื่องอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในไทย” นายทานาดะกล่าวและว่า
ในส่วนของการส่งออกรถยนต์โตโยต้าครึ่งปีแรก ส่งออกรถสำเร็จรูปทั้งสิ้น 2.04 แสนคัน เพิ่มขึ้น 50.3% เมื่อรวมกับส่งออกชิ้นส่วน 3.1 หมื่นล้านบาท มีมูลค่าส่งออกเป็นเงินกลับสู่ประเทศ 1.23 แสนล้านบาท และคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีการส่งออกรถยนต์โตโยต้า 4.05 แสนคัน และชิ้นส่วนมูลค่า 6.5 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าจากการส่งออกทั้งหมดของโตโยต้า 2.42 แสนล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าของการลงทุนมูลค่ากว่า 8 พันล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และการปรับปรุงโรงงานไทยออโตเวิร์ค (TAW) ที่สมุทรปราการมาผลิตรถอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยทีเอดับเบิลยูกำลังติดตั้งเครื่องจักรและจะเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ไม่เคยผลิตในไทยช่วงปลายปีนี้ เช่นเดียวกับโรงงานแห่งใหม่ที่เกตเวย์จะผลิตอีโคคาร์ในปีหน้าแน่นอน และไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรกแต่อย่างใด
นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ครึ่งแรกของปีนี้ได้สร้างสถิติใหม่ ด้วยยอดขายสูงสุด 6.06 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 40.4% โดยมีการขยายตัวในทุกตลาดรถยนต์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่เลื่อนมาจากช่วงอุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ และกำลังการผลิตที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติและเริ่มเพิ่มขึ้น
“ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ยังจะส่งผลต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะโครงการรถคันแรกของรัฐบาล ดังนั้นจึงคาดว่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ไทยปีนี้ สามารถสร้างสถิติใหม่เป็น 1.2 ล้านคัน จากเดิมประเมินไว้เมื่อต้นปี อยู่ที่ประมาณกว่า 1.1 ล้านคัน แต่ก็มีผลลบจากนโยบายรถคันแรกที่จะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้ เพราะจะไปดึงกำลังซื้อในปีหน้า ทำให้ภาพรวมตลาดในปี 2556 น่าจะเติบโตเพียง 10%”
ทั้งนี้โครงการรถคันแรกนับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ต่อการผลักดันให้ตลาดรถปีนี้เติบโตขึ้นมาก เห็นได้จากรถยนต์โตโยต้า วีออส และรุ่นยาริส ซึ่งเป็นอีกโมเดลหลักของโตโยต้า มียอดจองซื้อภายใต้โครงการรถคันแรกมากกว่า 50% ทำให้เชื่อว่ายี่ห้ออื่นๆ น่าจะไม่แตกต่างกัน และกลุ่มนี้ถือเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์นั่ง หรือเก๋ง แต่หากรัฐบาลเลื่อนโครงการออกไป จากเดิมต้องจองและจดทะเบียนภายในปีนี้ เลื่อนระยะเวลาส่งมอบและจดทะเบียนออกไปอีก 6 เดือน ตรงนี้จะส่งผลดีตลาดรถยนต์ในปีหน้า แต่คงไม่ได้ทำให้เพิ่มมากนัก เพราะตลาดอยู่ในสภาวะปกติก็จะเติบโตกว่า 10% เท่านั้น
นายทานาดะกล่าวว่า ในส่วนของโตโยต้าสามารถทำยอดขายช่วงครึ่งแรกของปีนี้ 2.41 แสนคัน เพิ่มขึ้น 50.3% และเมื่อรวมกับยอดขายครึ่งหลังของปีนี้ โตโยต้าคาดว่าจะมียอดขายรวมปรับเพิ่มเป็น 4.8 แสนคัน หรือเติบโต 65.1% ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จากปัจจุบันที่มียอดค้างส่งมอบเฉลี่ย 3-4 เดือน แต่ในเร็วๆ นี้จะเหลือประมาณ 1-2 เดือน ยกเว้นโตโยต้า วีออส และยาริส รวมถึงโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ที่คงจะรอนานกว่านั้นเล็กน้อย
“นับเป็นสถิติใหม่ของโตโยต้า เช่นเดียวกับการผลิตจาก 3 โรงงานในไทยปีนี้ ที่คาดว่ารวมทั้ง 3 โรงงาน จะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 8.65 แสนคัน ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมประเมินไว้เมื่อต้นปีที่ 8.1 แสนคัน หรือมากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 3 แสนคัน ซึ่งมาจากการตอบรับของผู้บริโภค ทั้งตลาดในไทยและส่งออกต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรง รวมถึงเรื่องอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในไทย” นายทานาดะกล่าวและว่า
ในส่วนของการส่งออกรถยนต์โตโยต้าครึ่งปีแรก ส่งออกรถสำเร็จรูปทั้งสิ้น 2.04 แสนคัน เพิ่มขึ้น 50.3% เมื่อรวมกับส่งออกชิ้นส่วน 3.1 หมื่นล้านบาท มีมูลค่าส่งออกเป็นเงินกลับสู่ประเทศ 1.23 แสนล้านบาท และคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีการส่งออกรถยนต์โตโยต้า 4.05 แสนคัน และชิ้นส่วนมูลค่า 6.5 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าจากการส่งออกทั้งหมดของโตโยต้า 2.42 แสนล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าของการลงทุนมูลค่ากว่า 8 พันล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และการปรับปรุงโรงงานไทยออโตเวิร์ค (TAW) ที่สมุทรปราการมาผลิตรถอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยทีเอดับเบิลยูกำลังติดตั้งเครื่องจักรและจะเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ไม่เคยผลิตในไทยช่วงปลายปีนี้ เช่นเดียวกับโรงงานแห่งใหม่ที่เกตเวย์จะผลิตอีโคคาร์ในปีหน้าแน่นอน และไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรกแต่อย่างใด
