ข่าวในประเทศ - ซีอีโอมาสด้า คอร์ปอเรชั่น มอเตอร์ บินตรงมาไทย ประกาศแผนธุรกิจระยะกลาง เผยเตรียมลงทุนรับเทคโนโลยีใหม่ “สกายแอคทีฟ” และเป้าหมายการเติบโตในอาเซียน ด้วยยอดขายกว่า 1.5 แสนคัน จากการเปิดตัวรถใหม่ 7 รุ่น โดยรุ่นจะเป็นเอสยูวี “มาสด้า ซีเอ็กซ์-5” พร้อมกับเข้าพบ “กิตติรัตน์” ยืนยันเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ คุณสมบัติไม่แตกต่างจากรถไฮบริด
นายทาคาชิ ยามานูชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ผลิตกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแข็งค่าของเงินเยน ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจยุโรป และปัญหาอีกหลายทิศทาง แต่เพื่อให้สามารถก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ และเตรียมความพร้อมธุรกิจมาสด้าให้แข็งแกร่ง มาสด้าจึงได้ประกาศแผนระยะกลาง ซึ่งเรียกว่า “แผนนวัตกรรมโครงสร้างธุรกิจ” ด้วยการทยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ 8 รุ่น ภายในระยะเวลา 5 ปี และตั้งเป้าบรรลุยอดขายทั่วโลก 1.7 ล้านคัน และมีผลกำไร 150,000 ล้านเยน ภายในปี 2559
“ภายใต้แผนดังกล่าวมาสด้าเล็งเห็นความสำคัญภูมิภาคอาเซียน ที่มีทิศทางตลาดเติบโตอย่างมาก และมาสด้าได้ตั้งเป้าหมายการขายในอาเซียนไว้ 1.5 แสนคัน ภายในปี 2558 โดยไทยจะเป็นใจกลางหลักของภูมิภาค ด้วยยอดขาย 1 แสนคัน จากปีนี้ตั้งเป้าไว้ 7 หมื่นคัน และเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว มาสด้าจึงต้องเตรียมพร้อทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ การขยายกำลังการผลิต และเครือข่ายการขาย”
ทั้งนี้ในเรื่องของผลิตภัณฑ์อย่างที่ประกาศไว้ จะมีการเปิดตัวรถใหม่ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั่วโลก 8 รุ่น และในจำนวน 7 รุ่น จะเปิดตัวขายในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยรุ่นแรกจะเป็นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี หรือคอมแพ็กต์เอสยูวี “มาสด้า ซีเอ็กซ์-5” ซึ่งเป็นรถที่ผลิตภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั้งคันรุ่นแรก และในอาเซียนได้มีการจำหน่ายในอินโดนีเซียและมาเลเซีย แต่เป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปจากญี่ปุ่น และในไทยจะเปิดตัวทำตลาดในปี 2556 ซึ่งจะเป็นรุ่นที่ขึ้นไลน์ประกอบในภูมิภาคอาเซียน
นายยามานูชิเปิดเผยว่า รถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่มีการพัฒนาในเรื่องของเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ระบบขับเคลื่อน โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่าง ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงลงอีก 30% และปล่อยมลพิษน้อยลง แต่มีสมรรถนะการขับขี่สูงขึ้น และเรื่องนี้มาสด้าได้นำข้อมูลรายละเอียดไปชี้แจง กับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ทราบถึงเทคโนโลยีดังกล่าว ที่แทบจะไม่แตกต่างจากรถไฮบริด และในญี่ปุ่นได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเทียบเท่ากัน
“เราไม่ได้มาล็อบบี้รัฐบาลไทย แต่ต้องการบอกให้รู้ว่ามาสด้ามีเทคโนโลยีเทียบเท่าไฮบริด และไม่ว่าจะอย่างไรมาสด้าจะเดินหน้าทำตลาดรถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟแน่นอน และในเร็วๆ นี้จะมีการประกาศความชัดเจนเกี่ยวกับการผลิตมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 และการลงทุนเทคโนโลยีสกายแอคทีฟในรุ่นอื่นๆ ซึ่งมาสด้ายังมองโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ หรือเอเอที (AAT) ในประเทศไทยเป็นฐานผลิตลำดับแรกๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พิจารณาผลิตในประเทศอาเซียนอื่นๆ แต่แน่นอนมาสด้า 2 และ 3 ที่ผลิตในโรงงานเอเอที ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ทำให้มาสด้าต้องมีการลงทุนในโรงงานแห่งนี้อยู่แล้ว เพื่อรองรับเทคโนโลยีดังกล่าว”
นอกจากการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และการลงทุนในอาเซียนแล้ว ยุทธศาสตร์หลักของมาสด้าในการรองรับแผนธุรกิจระยะกลางแล้ว ยังได้มีแกนหลักทางยุทธศาสตร์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจให้เติบโตในตลาดเกิดใหม่ ครอบคลุมถึงอาเซียน รัสเซีย และแม็กซิโก ซึ่งในปีนี้จะเริ่มผลิตรถในประเทศรัสเซีย และช่วงต้นปี 2557 จะเริ่มการผลิตในประเทศแม็กซิโก พร้อมกันนี้ยังได้นำนวัตกรรมทางการผลิต ทำให้มาสด้าค้นคว้าพัฒนารถยนต์และกระบวนการผลิตในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการปรับลดต้นทุนการผลิตลงได้ถึง 30%
นายทาคาชิ ยามานูชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ผลิตกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแข็งค่าของเงินเยน ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจยุโรป และปัญหาอีกหลายทิศทาง แต่เพื่อให้สามารถก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ และเตรียมความพร้อมธุรกิจมาสด้าให้แข็งแกร่ง มาสด้าจึงได้ประกาศแผนระยะกลาง ซึ่งเรียกว่า “แผนนวัตกรรมโครงสร้างธุรกิจ” ด้วยการทยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ 8 รุ่น ภายในระยะเวลา 5 ปี และตั้งเป้าบรรลุยอดขายทั่วโลก 1.7 ล้านคัน และมีผลกำไร 150,000 ล้านเยน ภายในปี 2559
“ภายใต้แผนดังกล่าวมาสด้าเล็งเห็นความสำคัญภูมิภาคอาเซียน ที่มีทิศทางตลาดเติบโตอย่างมาก และมาสด้าได้ตั้งเป้าหมายการขายในอาเซียนไว้ 1.5 แสนคัน ภายในปี 2558 โดยไทยจะเป็นใจกลางหลักของภูมิภาค ด้วยยอดขาย 1 แสนคัน จากปีนี้ตั้งเป้าไว้ 7 หมื่นคัน และเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว มาสด้าจึงต้องเตรียมพร้อทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ การขยายกำลังการผลิต และเครือข่ายการขาย”
ทั้งนี้ในเรื่องของผลิตภัณฑ์อย่างที่ประกาศไว้ จะมีการเปิดตัวรถใหม่ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั่วโลก 8 รุ่น และในจำนวน 7 รุ่น จะเปิดตัวขายในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยรุ่นแรกจะเป็นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี หรือคอมแพ็กต์เอสยูวี “มาสด้า ซีเอ็กซ์-5” ซึ่งเป็นรถที่ผลิตภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั้งคันรุ่นแรก และในอาเซียนได้มีการจำหน่ายในอินโดนีเซียและมาเลเซีย แต่เป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปจากญี่ปุ่น และในไทยจะเปิดตัวทำตลาดในปี 2556 ซึ่งจะเป็นรุ่นที่ขึ้นไลน์ประกอบในภูมิภาคอาเซียน
นายยามานูชิเปิดเผยว่า รถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่มีการพัฒนาในเรื่องของเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ระบบขับเคลื่อน โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่าง ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงลงอีก 30% และปล่อยมลพิษน้อยลง แต่มีสมรรถนะการขับขี่สูงขึ้น และเรื่องนี้มาสด้าได้นำข้อมูลรายละเอียดไปชี้แจง กับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ทราบถึงเทคโนโลยีดังกล่าว ที่แทบจะไม่แตกต่างจากรถไฮบริด และในญี่ปุ่นได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเทียบเท่ากัน
“เราไม่ได้มาล็อบบี้รัฐบาลไทย แต่ต้องการบอกให้รู้ว่ามาสด้ามีเทคโนโลยีเทียบเท่าไฮบริด และไม่ว่าจะอย่างไรมาสด้าจะเดินหน้าทำตลาดรถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟแน่นอน และในเร็วๆ นี้จะมีการประกาศความชัดเจนเกี่ยวกับการผลิตมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 และการลงทุนเทคโนโลยีสกายแอคทีฟในรุ่นอื่นๆ ซึ่งมาสด้ายังมองโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ หรือเอเอที (AAT) ในประเทศไทยเป็นฐานผลิตลำดับแรกๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พิจารณาผลิตในประเทศอาเซียนอื่นๆ แต่แน่นอนมาสด้า 2 และ 3 ที่ผลิตในโรงงานเอเอที ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ทำให้มาสด้าต้องมีการลงทุนในโรงงานแห่งนี้อยู่แล้ว เพื่อรองรับเทคโนโลยีดังกล่าว”
นอกจากการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และการลงทุนในอาเซียนแล้ว ยุทธศาสตร์หลักของมาสด้าในการรองรับแผนธุรกิจระยะกลางแล้ว ยังได้มีแกนหลักทางยุทธศาสตร์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจให้เติบโตในตลาดเกิดใหม่ ครอบคลุมถึงอาเซียน รัสเซีย และแม็กซิโก ซึ่งในปีนี้จะเริ่มผลิตรถในประเทศรัสเซีย และช่วงต้นปี 2557 จะเริ่มการผลิตในประเทศแม็กซิโก พร้อมกันนี้ยังได้นำนวัตกรรมทางการผลิต ทำให้มาสด้าค้นคว้าพัฒนารถยนต์และกระบวนการผลิตในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการปรับลดต้นทุนการผลิตลงได้ถึง 30%