ครั้ง“ซีวิค FD”(เจเนอเรชันที่8)เปิดตัวปลายปี 2005 ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดรถยนต์นั่งเมืองไทยพอสมควร ด้วยรูปลักษณ์ทันสมัยทั้งภายนอกภายใน พร้อมสมรรถนะการขับจี๊ดจ๊าดเร้าใจจากเครื่องยนต์ 1.8 และ 2.0 ลิตร ซึ่งรวมๆแล้วดูโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นๆที่ขายในสมัยนั้น
...เรียกว่าขายดีจนเจ้าตลาดตลอดกาลอย่าง “โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส” ต้องปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่ ซึ่งประเมินได้จากแผนการตลาด และการไมเนอร์เชนจ์(ปี2010)โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 1.8ที่จัดเต็มทั้งเครื่องยนต์ Dual VVT-i และเกียร์ CVT ใหม่
เหนืออื่นใดคนที่ใช้ “ซีวิค FD” น่าจะดีใจเพราะคุณสามารถยืดเวลาตกรุ่นได้อีกปีกว่าๆ นั่นเพราะถ้าดูจากแผนโปรดักต์เดิมๆของฮอนด้าที่มักจะโมเดลเชนจ์รถทุกๆ 5 ปี ดังนั้นถ้านับตามอายุโมเดล “ซีวิค FD” ก็น่าจะถูกถอดออกจากตลาดไปตั้งแต่ปลายปี 2010
แต่กระนั้นเมื่อรถได้กระแสตอบรับดี หรือถ้าเทียบกับคู่แข่งแล้วยังสู้ได้สบายพร้อมทำยอดขายน่าพอใจ ก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะรีบเปลี่ยนรุ่นไปไหน ซึ่งประเด็นนี้ฮอนด้า(อเมริกา)ออกมายอมรับว่า จากนี้ไปการเปลี่ยนโฉมรถจะไม่อิงกับอายุโมเดลแต่จะดูจากทิศทางการตลาดแทน
สำหรับเมืองไทยกำหนดเดิมของ “ซีวิค โฉมใหม่” เจเนอเรชันที่ 9 เตรียมเปิดตัวพร้อมขายในงาน“มอเตอร์เอ็กซ์โป 2011”ปลายปีที่แล้ว แต่เมื่อโดนซ้ำด้วยวิกฤตน้ำท่วมจึงส่งผลให้ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ต้องเลื่อนการทำตลาดมาเป็นช่วงกลางปีนี้ โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา (แต่นำไปอวดโฉมก่อนในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2012)
หลังจากการเปิดตัวและได้เห็นรถคันจริงกันชัดๆ หลายเสียงบ่นว่าไม่สวย ดูไม่ลงตัว หรือเป็นรถลูกผสมระหว่าง ซิตี้กับแอคคอร์ดจนไร้ความโดดเด่น ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่ความชอบครับ ส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้ติดใจอะไรกับรูปลักษณ์ เพราะต้องเข้าใจสไตล์การออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ของฮอนด้า ที่นิยมจัดวางเส้นสายไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญ “ซีวิค FD” ถือเป็นรถที่ลงตัวและล้ำหรูในหลายๆด้านๆอยู่แล้ว ดังนั้นการจะปรับใหม่ให้ฉีกจากเดิม และต้องคงความสวยให้ถูกใจทุกคนคงเป็นเรื่องยาก
ในส่วนของการตกแต่งภายในถือว่าฮอนด้าทำการบ้านมาดี โดยรถยังมีอารมณ์สปอร์ตและสวยล้ำด้วยลูกเล่นตระการตา อย่างรุ่น 1.8 จะใช้เบาะผ้าและเบาะหนังสีเบจ ส่วนรุ่น 2.0 จะใช้เบาะหนังสีดำ (แต่เชื่อว่าสักพักรุ่น 1.8 ก็ต้องมีเบาะหนังสีดำออกมาเช่นกัน) โดดเด่นด้วยมาตรวัดความเร็วดิจิตอลเรืองแสง รวมถึงหน้าจอแสดงผล i-MID ขนาด 5 นิ้วแบบใหม่ ขณะที่รุ่นเนวิเกเตอร์จะเพิ่มหน้าจอสีขนาด 6.5 นิ้วพร้อมแสดงภาพขณะถอยหลัง
สำหรับ i-MID (Intelligent Multi-Information Display) เป็นระบบใหม่ที่ฮอนด้าใส่มาให้เล่นเพลินๆครบทุกรุ่นย่อย โดยแบ่งเป็น 4 โหมดหลักคือ โหมดเครื่องเสียง ข้อมูลการโทรศัพท์ (หลังเชื่อมต่อบลูทูธ) แสดงผลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และการตั้งค่าต่างๆของรถ อาทิ สีสันบนหน้าปัด,ระบบไฟหน้า-ไฟในห้องโดยสาร,การล็อกหรือปลดล็อกประตูอัตโนมัติ โดยคนขับสามารถปรับเลือกได้ตามใจชอบ จากปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย
นอกจากนี้“ซีวิค โฉมใหม่”ยังใส่ออปชันECON Mode เพื่อช่วยให้การขับขี่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพียงกดปุ่มสีเขียวที่เขียนว่า ECON ขวามือของคนขับ ระบบจะสั่งงานให้เครื่องยนต์ตอบสนองช้าลง โดยจะควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อ (Drive-by-Wire) ซึ่งจะยกช้าหรือยกน้อยกว่าปกติ เพื่อลดการไหลเข้าของอากาศไปในท่อไอดีและห้องเผาไหม้ รวมถึงการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่ลากรอบและพยายามใช้เกียร์สูงอยู่เสมอ ตลอดจนควบคุมระบบแอร์ไม่ให้ทำงานหนักจนเกินไป
สำหรับการขับขี่จริง ผู้เขียนได้ลองรุ่น 1.8E Navi (ราคา 964,000 บาท) โดยเริ่มออกตัวจากศูนย์ฝึกอบรมฮอนด้า บางชัน ใช้ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก เข้ารังสิต-นครนายก มุ่งหมายไปถ่ายรูปรถที่เขื่อนขุนด่านปราการชล แล้วอ้อมกลับมามาพักที่ร้านอาหารแถวทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่งปราจีนบุรี จากนั้นย้อนรอยเส้นทางกลับมาที่ศูนย์ฝึกอบรมฮอนด้า รวมระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร
...พลันเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ พบว่าเสาร์เอ-พิลลาร์ขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลถึงทัศนวิสัยการมองด้านหน้าและด้านข้างโปร่งชัด เบาะนั่งนุ่มกำลังดีพร้อมรองรับสรีระพอเหมาะ พวงมาลัยที่เต็มไปด้วยปุ่มควบคุมมากมายดูเหมือนขนาด (เส้นผ่าศูนย์กลาง)จะเล็กลง จับกระชับมือคล้ายๆรถแข่ง ส่วนแดชบอร์ดหน้า แผงคอนโซลกลางที่ฝังจอทัชกรีน ออกแบบให้โอบล้อมเข้าหาคนขับเพื่อการใช้งานสะดวกมากที่สุด
ด้านระบบ i-MID ใช้งานง่ายผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย พร้อมแสดงภาพสัญลักษณ์เห็นชัด แต่บางโหมดอย่างการปรับตั้งค่าต่างๆของรถจะไม่สามารถทำได้ขณะรถวิ่ง (ให้ใช้ได้แค่โหมดเครื่องเสียง โทรศัพท์ และแสดงข้อมูลทริปการขับขี่เท่านั้น) ส่วนระบบนำทางที่ติดตั้งมาใน ซีวิค โฉมใหม่ ดูจะโบราณไปนิด แถมบางช่วงยังแจ้งผลช้า และไม่แม่นยำนัก
เครื่องยนต์ i-VTEC 1.8 ลิตร SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
โดยเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรยังเป็นบล็อกเดิมแต่ปรับเพิ่มม้าขึ้นมา 1 ตัว (เดิม 140 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที) พร้อมรองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ อี85 ดังนั้นการขับขี่แบบแรงเร้าใจที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของซีวิค FD ยังมีไว้เต็มเปี่ยม
การเติมคันเร่งลงไปแต่ละครั้งจะได้รับการตอบสนองที่กระฉับกระเฉง พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์แบบ SOHC ดังหวีดหวาน อย่างการออกตัวและการเร่งแซงในย่านความเร็วต่ำยังเป็นจุดเด่น ขณะที่พวงมาลัยหันมาใช้การผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EPS (เดิมไฮดรอลิก) แม้น้ำหนักจะเบาตามสไตล์ แต่สั่งงานซ้าย-ขวาคมกริบ ทดองศาจังหวะเลี้ยวแม่นยำ ขณะที่จังหวะกลับรถผู้เขียนก็รู้สึกว่าไม่ต้องหมุนวงเลี้ยวมากอย่างที่คิด
ด้านช่วงล่างหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท หลังแบบมัลติลิงก์ เสริมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง มีการปรับให้แตกต่างไปจากรุ่นเดิม กล่าวคือในภาพร่วมยังเน้นการรองรับแบบนุ่มสบาย แต่วิศวกรได้ลดการโคลงหรือจังหวะโยนตัวให้น้อยลง ผู้เขียนลองใช้ความเร็ว 120-140 กม./ชม. การทรงตัวให้ความมั่นใจมากกว่าซีวิค FD
เมื่อย้ายตัวไปเป็นผู้โดยสารด้านหลังพบว่า ความคล่องตัวลดลงจากเดิม ระยะห่างช่วงขา (Leg room) แถบไม่เหลือ (จะชัดเจนถ้าคนนั่งหน้าถอยเบาะให้ตนเองนั่งสบายที่สุด และคนนั่งหลังสูงประมาณ 180 ซม.) พร้อมรับรู้ถึงอาการเด้งสะเทือนมากกว่าการเป็นคนขับหรือผู้โดยสารด้านหน้าอยู่นิดๆ
ดังนั้นถ้าหันกลับมาดูมิติตัวถังซีวิค โฉมใหม่ จะเห็นว่ามีความยาว 4,525 มม. ลดลงจากรุ่นเดิม 15 มม. ระยะฐานล้อ 2,670 มม.สั้นกว่าเดิม30 มม. ขณะที่ความกว้างและสูงเท่าเดิมคือ 1,755 มม. และ 1,434 มม.ตามลำดับ
โดยเหตุผลของโครงสร้างใหม่นี้ วิศวกรฮอนด้าชี้แจงว่า การใช้แพลตฟอร์มใหม่ที่สั้นและเบากว่ารุ่นเดิม เพื่อหวังจะให้ซีวิค โฉมใหม่ขับขี่ปราดเปรียวและประหยัดน้ำมันมากขึ้น
ขณะที่การเก็บเสียงแม้วิศวกรฮอนด้าจะย้ำว่าได้พัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเสริมแผ่นปิดใต้ท้องรถ และแผ่นดูดซับเสียงบริเวณบังโคลนล้อหลัง รวมถึงเสริมขอบยางชายประตูล่าง ตลอดจนฉนวนดูดซับเสียงในบริเวณต่างๆเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะดีไม่พอในการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอก
โดยการขับความเร็วปกติจะได้ยินเสียงการจราจรจากภายนอกค่อนข้างชัด หรือขับที่ความเร็ว 100 กม./ชม.บางครั้งก็มีเสียงลมหวีดดังลอดเข้ามาบ้างแล้ว ขณะที่เสียงยางบดถนนของกู๊ดเยียร์ อีเกิ้ล ขนาด 205/55R16 ก็แอบแทรกเข้ามาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามจุดที่ต้องชมและสามารถให้คะแนนได้เกิน 100 เห็นจะเป็นเรื่องเบรก นั่นเพราะจากการที่เป็นรถอารมณ์สปอร์ต อาจบี้ตะบันคันเร่งเกินไปเพราะความสนุก แต่เมื่อจำเป็นต้องชะลอความเร็ว หรือหยุดกะทันหัน เบรกของซีวิค ใหม่ ตอบสนองดีมากและออกแนวนุ่มนวลไม่หน้าทิ่มหัวจิก ซึ่งคล้ายกับรถทุกรุ่นของฮอนด้าในระยะหลังที่ควบคุมการเบรกได้ยอดเยี่ยม
ส่วนของความปลอดภัย ฮอนด้าใส่ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นมาตรฐาานทุกรุ่น ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร จะเสริมถุงลมนิรภัยด้านข้างและระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA มาให้
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันในรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร โดยเติมแก็สโซฮอล์ อี85 พร้อมการขับทางหลวงต่างจังหวัดใช้ความเร็วสูงเป็นหลัก ยังเห็นตัวเลข12 กม./ลิตร ดังนั้นถ้าเติมเบนซินล้วนๆ หรือแก๊สโซฮอล์ อี10 อี20 จะได้ตัวเลขที่สวยกว่านี้แน่ๆ (แต่ด้วยราคาน้ำมัน อี85 เพียง 22-23 บาทต่อลิตร ย่อมส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยการวิ่งหรือบาทต่อกิโลเมตรถูกกว่าแน่นอน)
รวบรัดตัดความ...ได้อารมณ์สปอร์ตไปเต็มๆจากพลังเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 141 แรงม้า พร้อมประสิทธิภาพเบรกหนึบแน่น แต่ในภาพรวม “ซีวิค โฉมใหม่” ยังเน้นความนุ่มนิ่มขับง่าย อย่างช่วงล่างการทรงตัวแม้จะปรับให้เนียนขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ดีกว่าคู่แข่งในปัจจุบัน ทั้งยังเสียเรื่องเสียงรบกวนที่ปะทะดังเข้ามาในห้องโดยสารมากไปนิด
...สรุปว่า“ซีวิค โฉมใหม่” เป็นเก๋งคอมแพกต์ที่น่าใช้อีกหนึ่งรุ่น แต่ไม่รู้ว่าโชว์รูมไหนมี ซีวิค FD (ป้ายแดง)เหลืออยู่บ้าง? ไม่ต้องลดราคาให้ผู้เขียนก็ได้...จะจัดไปสักคัน!!!
...เรียกว่าขายดีจนเจ้าตลาดตลอดกาลอย่าง “โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส” ต้องปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่ ซึ่งประเมินได้จากแผนการตลาด และการไมเนอร์เชนจ์(ปี2010)โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 1.8ที่จัดเต็มทั้งเครื่องยนต์ Dual VVT-i และเกียร์ CVT ใหม่
เหนืออื่นใดคนที่ใช้ “ซีวิค FD” น่าจะดีใจเพราะคุณสามารถยืดเวลาตกรุ่นได้อีกปีกว่าๆ นั่นเพราะถ้าดูจากแผนโปรดักต์เดิมๆของฮอนด้าที่มักจะโมเดลเชนจ์รถทุกๆ 5 ปี ดังนั้นถ้านับตามอายุโมเดล “ซีวิค FD” ก็น่าจะถูกถอดออกจากตลาดไปตั้งแต่ปลายปี 2010
แต่กระนั้นเมื่อรถได้กระแสตอบรับดี หรือถ้าเทียบกับคู่แข่งแล้วยังสู้ได้สบายพร้อมทำยอดขายน่าพอใจ ก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะรีบเปลี่ยนรุ่นไปไหน ซึ่งประเด็นนี้ฮอนด้า(อเมริกา)ออกมายอมรับว่า จากนี้ไปการเปลี่ยนโฉมรถจะไม่อิงกับอายุโมเดลแต่จะดูจากทิศทางการตลาดแทน
สำหรับเมืองไทยกำหนดเดิมของ “ซีวิค โฉมใหม่” เจเนอเรชันที่ 9 เตรียมเปิดตัวพร้อมขายในงาน“มอเตอร์เอ็กซ์โป 2011”ปลายปีที่แล้ว แต่เมื่อโดนซ้ำด้วยวิกฤตน้ำท่วมจึงส่งผลให้ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ต้องเลื่อนการทำตลาดมาเป็นช่วงกลางปีนี้ โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา (แต่นำไปอวดโฉมก่อนในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2012)
หลังจากการเปิดตัวและได้เห็นรถคันจริงกันชัดๆ หลายเสียงบ่นว่าไม่สวย ดูไม่ลงตัว หรือเป็นรถลูกผสมระหว่าง ซิตี้กับแอคคอร์ดจนไร้ความโดดเด่น ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่ความชอบครับ ส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้ติดใจอะไรกับรูปลักษณ์ เพราะต้องเข้าใจสไตล์การออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ของฮอนด้า ที่นิยมจัดวางเส้นสายไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญ “ซีวิค FD” ถือเป็นรถที่ลงตัวและล้ำหรูในหลายๆด้านๆอยู่แล้ว ดังนั้นการจะปรับใหม่ให้ฉีกจากเดิม และต้องคงความสวยให้ถูกใจทุกคนคงเป็นเรื่องยาก
ในส่วนของการตกแต่งภายในถือว่าฮอนด้าทำการบ้านมาดี โดยรถยังมีอารมณ์สปอร์ตและสวยล้ำด้วยลูกเล่นตระการตา อย่างรุ่น 1.8 จะใช้เบาะผ้าและเบาะหนังสีเบจ ส่วนรุ่น 2.0 จะใช้เบาะหนังสีดำ (แต่เชื่อว่าสักพักรุ่น 1.8 ก็ต้องมีเบาะหนังสีดำออกมาเช่นกัน) โดดเด่นด้วยมาตรวัดความเร็วดิจิตอลเรืองแสง รวมถึงหน้าจอแสดงผล i-MID ขนาด 5 นิ้วแบบใหม่ ขณะที่รุ่นเนวิเกเตอร์จะเพิ่มหน้าจอสีขนาด 6.5 นิ้วพร้อมแสดงภาพขณะถอยหลัง
สำหรับ i-MID (Intelligent Multi-Information Display) เป็นระบบใหม่ที่ฮอนด้าใส่มาให้เล่นเพลินๆครบทุกรุ่นย่อย โดยแบ่งเป็น 4 โหมดหลักคือ โหมดเครื่องเสียง ข้อมูลการโทรศัพท์ (หลังเชื่อมต่อบลูทูธ) แสดงผลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และการตั้งค่าต่างๆของรถ อาทิ สีสันบนหน้าปัด,ระบบไฟหน้า-ไฟในห้องโดยสาร,การล็อกหรือปลดล็อกประตูอัตโนมัติ โดยคนขับสามารถปรับเลือกได้ตามใจชอบ จากปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย
นอกจากนี้“ซีวิค โฉมใหม่”ยังใส่ออปชันECON Mode เพื่อช่วยให้การขับขี่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพียงกดปุ่มสีเขียวที่เขียนว่า ECON ขวามือของคนขับ ระบบจะสั่งงานให้เครื่องยนต์ตอบสนองช้าลง โดยจะควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อ (Drive-by-Wire) ซึ่งจะยกช้าหรือยกน้อยกว่าปกติ เพื่อลดการไหลเข้าของอากาศไปในท่อไอดีและห้องเผาไหม้ รวมถึงการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่ลากรอบและพยายามใช้เกียร์สูงอยู่เสมอ ตลอดจนควบคุมระบบแอร์ไม่ให้ทำงานหนักจนเกินไป
สำหรับการขับขี่จริง ผู้เขียนได้ลองรุ่น 1.8E Navi (ราคา 964,000 บาท) โดยเริ่มออกตัวจากศูนย์ฝึกอบรมฮอนด้า บางชัน ใช้ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก เข้ารังสิต-นครนายก มุ่งหมายไปถ่ายรูปรถที่เขื่อนขุนด่านปราการชล แล้วอ้อมกลับมามาพักที่ร้านอาหารแถวทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่งปราจีนบุรี จากนั้นย้อนรอยเส้นทางกลับมาที่ศูนย์ฝึกอบรมฮอนด้า รวมระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร
...พลันเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ พบว่าเสาร์เอ-พิลลาร์ขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลถึงทัศนวิสัยการมองด้านหน้าและด้านข้างโปร่งชัด เบาะนั่งนุ่มกำลังดีพร้อมรองรับสรีระพอเหมาะ พวงมาลัยที่เต็มไปด้วยปุ่มควบคุมมากมายดูเหมือนขนาด (เส้นผ่าศูนย์กลาง)จะเล็กลง จับกระชับมือคล้ายๆรถแข่ง ส่วนแดชบอร์ดหน้า แผงคอนโซลกลางที่ฝังจอทัชกรีน ออกแบบให้โอบล้อมเข้าหาคนขับเพื่อการใช้งานสะดวกมากที่สุด
ด้านระบบ i-MID ใช้งานง่ายผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย พร้อมแสดงภาพสัญลักษณ์เห็นชัด แต่บางโหมดอย่างการปรับตั้งค่าต่างๆของรถจะไม่สามารถทำได้ขณะรถวิ่ง (ให้ใช้ได้แค่โหมดเครื่องเสียง โทรศัพท์ และแสดงข้อมูลทริปการขับขี่เท่านั้น) ส่วนระบบนำทางที่ติดตั้งมาใน ซีวิค โฉมใหม่ ดูจะโบราณไปนิด แถมบางช่วงยังแจ้งผลช้า และไม่แม่นยำนัก
เครื่องยนต์ i-VTEC 1.8 ลิตร SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
โดยเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรยังเป็นบล็อกเดิมแต่ปรับเพิ่มม้าขึ้นมา 1 ตัว (เดิม 140 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที) พร้อมรองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ อี85 ดังนั้นการขับขี่แบบแรงเร้าใจที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของซีวิค FD ยังมีไว้เต็มเปี่ยม
การเติมคันเร่งลงไปแต่ละครั้งจะได้รับการตอบสนองที่กระฉับกระเฉง พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์แบบ SOHC ดังหวีดหวาน อย่างการออกตัวและการเร่งแซงในย่านความเร็วต่ำยังเป็นจุดเด่น ขณะที่พวงมาลัยหันมาใช้การผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EPS (เดิมไฮดรอลิก) แม้น้ำหนักจะเบาตามสไตล์ แต่สั่งงานซ้าย-ขวาคมกริบ ทดองศาจังหวะเลี้ยวแม่นยำ ขณะที่จังหวะกลับรถผู้เขียนก็รู้สึกว่าไม่ต้องหมุนวงเลี้ยวมากอย่างที่คิด
ด้านช่วงล่างหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท หลังแบบมัลติลิงก์ เสริมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง มีการปรับให้แตกต่างไปจากรุ่นเดิม กล่าวคือในภาพร่วมยังเน้นการรองรับแบบนุ่มสบาย แต่วิศวกรได้ลดการโคลงหรือจังหวะโยนตัวให้น้อยลง ผู้เขียนลองใช้ความเร็ว 120-140 กม./ชม. การทรงตัวให้ความมั่นใจมากกว่าซีวิค FD
เมื่อย้ายตัวไปเป็นผู้โดยสารด้านหลังพบว่า ความคล่องตัวลดลงจากเดิม ระยะห่างช่วงขา (Leg room) แถบไม่เหลือ (จะชัดเจนถ้าคนนั่งหน้าถอยเบาะให้ตนเองนั่งสบายที่สุด และคนนั่งหลังสูงประมาณ 180 ซม.) พร้อมรับรู้ถึงอาการเด้งสะเทือนมากกว่าการเป็นคนขับหรือผู้โดยสารด้านหน้าอยู่นิดๆ
ดังนั้นถ้าหันกลับมาดูมิติตัวถังซีวิค โฉมใหม่ จะเห็นว่ามีความยาว 4,525 มม. ลดลงจากรุ่นเดิม 15 มม. ระยะฐานล้อ 2,670 มม.สั้นกว่าเดิม30 มม. ขณะที่ความกว้างและสูงเท่าเดิมคือ 1,755 มม. และ 1,434 มม.ตามลำดับ
โดยเหตุผลของโครงสร้างใหม่นี้ วิศวกรฮอนด้าชี้แจงว่า การใช้แพลตฟอร์มใหม่ที่สั้นและเบากว่ารุ่นเดิม เพื่อหวังจะให้ซีวิค โฉมใหม่ขับขี่ปราดเปรียวและประหยัดน้ำมันมากขึ้น
ขณะที่การเก็บเสียงแม้วิศวกรฮอนด้าจะย้ำว่าได้พัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเสริมแผ่นปิดใต้ท้องรถ และแผ่นดูดซับเสียงบริเวณบังโคลนล้อหลัง รวมถึงเสริมขอบยางชายประตูล่าง ตลอดจนฉนวนดูดซับเสียงในบริเวณต่างๆเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะดีไม่พอในการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอก
โดยการขับความเร็วปกติจะได้ยินเสียงการจราจรจากภายนอกค่อนข้างชัด หรือขับที่ความเร็ว 100 กม./ชม.บางครั้งก็มีเสียงลมหวีดดังลอดเข้ามาบ้างแล้ว ขณะที่เสียงยางบดถนนของกู๊ดเยียร์ อีเกิ้ล ขนาด 205/55R16 ก็แอบแทรกเข้ามาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามจุดที่ต้องชมและสามารถให้คะแนนได้เกิน 100 เห็นจะเป็นเรื่องเบรก นั่นเพราะจากการที่เป็นรถอารมณ์สปอร์ต อาจบี้ตะบันคันเร่งเกินไปเพราะความสนุก แต่เมื่อจำเป็นต้องชะลอความเร็ว หรือหยุดกะทันหัน เบรกของซีวิค ใหม่ ตอบสนองดีมากและออกแนวนุ่มนวลไม่หน้าทิ่มหัวจิก ซึ่งคล้ายกับรถทุกรุ่นของฮอนด้าในระยะหลังที่ควบคุมการเบรกได้ยอดเยี่ยม
ส่วนของความปลอดภัย ฮอนด้าใส่ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นมาตรฐาานทุกรุ่น ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร จะเสริมถุงลมนิรภัยด้านข้างและระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA มาให้
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันในรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร โดยเติมแก็สโซฮอล์ อี85 พร้อมการขับทางหลวงต่างจังหวัดใช้ความเร็วสูงเป็นหลัก ยังเห็นตัวเลข12 กม./ลิตร ดังนั้นถ้าเติมเบนซินล้วนๆ หรือแก๊สโซฮอล์ อี10 อี20 จะได้ตัวเลขที่สวยกว่านี้แน่ๆ (แต่ด้วยราคาน้ำมัน อี85 เพียง 22-23 บาทต่อลิตร ย่อมส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยการวิ่งหรือบาทต่อกิโลเมตรถูกกว่าแน่นอน)
รวบรัดตัดความ...ได้อารมณ์สปอร์ตไปเต็มๆจากพลังเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 141 แรงม้า พร้อมประสิทธิภาพเบรกหนึบแน่น แต่ในภาพรวม “ซีวิค โฉมใหม่” ยังเน้นความนุ่มนิ่มขับง่าย อย่างช่วงล่างการทรงตัวแม้จะปรับให้เนียนขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ดีกว่าคู่แข่งในปัจจุบัน ทั้งยังเสียเรื่องเสียงรบกวนที่ปะทะดังเข้ามาในห้องโดยสารมากไปนิด
...สรุปว่า“ซีวิค โฉมใหม่” เป็นเก๋งคอมแพกต์ที่น่าใช้อีกหนึ่งรุ่น แต่ไม่รู้ว่าโชว์รูมไหนมี ซีวิค FD (ป้ายแดง)เหลืออยู่บ้าง? ไม่ต้องลดราคาให้ผู้เขียนก็ได้...จะจัดไปสักคัน!!!