ข่าวคราวเงียบหายในตลาดปิกอัพไปนานพอสมควร สำหรับ “นิสสัน นาวารา” หลังจาก (เกือบลืม) การไมเนอร์เชนจ์ 2 รุ่นใหม่ “แกรนด์ ไททาเนียม” และ “สปอร์ตเวอร์ชั่น” ตั้งแต่เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
บางกระแสบ้างว่าทีมงานของนิสสันมัวมุ่งมั่นดันตัวเลขและดื่มด่ำกับยอดขายกลุ่ม “อีโคคาร์” จนหลงลืมการสานต่อของตลาดปิกอัพ ซึ่งคนไทยเคยคุ้นชื่อแบรนด์ในฐานะผู้จำหน่ายรถปิกอัพยี่ห้อแรกในไทยมาอย่างยาวนาน หรือบ้างก็ว่าทีมงานการตลาดยังคงใช้ชุดเดิมเพียงไม่กี่คนนั่นแหละ แล้วแบบนี้จะให้แยกร่างไปสร้างการรับรู้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร
แต่จะด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม ล่าสุดสัปดาห์เทศกาลแห่งความรักที่ผ่านมา บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดทริปทดสอบ “นาวารา” ไมเนอร์เชนจ์ 2 รุ่นใหม่ ผ่านรูปแบบขบวนคาราวาน เดินทางไกลข้ามประเทศจากอุบลราชธานีทะลุไปยังจุดผ่านแดน เมืองปากเซ และจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บนสภาพถนนไฮเวย์ และออฟโรด รวมระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร
โดยก่อนที่จะไปลงรายละเอียดของทริปทดสอบครั้งนี้ ต้องย้อนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนตัวรถกันก่อน เริ่มจาก “แกรนด์ ไททาเนียม” มาในมาดหรู รุ่นยกสูง คาลิเบอร์ ทั้งในรุ่นคิงแค็บและดับเบิ้ลแค็บ ภายนอกเพิ่มชุดแต่งใหม่ สีไททาเนียม 6 จุด ไล่ตั้งแต่กระจังหน้า การ์ดกันชนหน้า-หลัง กระจกมองข้างพร้อมฝังไฟเลี้ยว LED มือจับประตู และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่
ขณะที่ในรุ่น “สปอร์ตเวอร์ชั่น” เน้นรูปลักษณ์ความปราดเปรียว พร้อมลุยทุกอุปสรรคและเส้นทางผจญภัย ปรับโฉมเล็กน้อยทั้งในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อและสองล้อแบบยกสูง คาลิเบอร์ เติมความลงตัวด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ทรง V-Shape ขนาดใหญ่ พร้อมกันชนหน้าสไตล์สปอร์ต เช่นกันกับกระจกมองข้างโครเมียมและไฟเลี้ยวแบบ LED แต่ที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นการออกแบบล้ออัลลอยให้มีความแตกต่าง ดูเผินๆ นึกว่าล้อสำหรับรถเก๋ง
มาดูกันที่การตกแต่งเพิ่มเติมภายในห้องโดยสารกันบ้าง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมทั้งระบบความเร็วอัตโมัติหรือครูสคอนโทรล (Cruise Control) และปุ่มปรับระบบเครื่องเสียง ออกแบบเพื่อความความปลอดภัยโดยที่ผู้ขับไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย แถมเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นดีวีดีใหม่ระบบสัมผัส และไมโครโฟนไร้สายรองรับระบบบลูทูธ เพื่อรับสายโทรศัพท์เข้า-ออก อีกทั้งยังเพิ่มกล้องมองหลังขณะถอยจอด พร้อมเส้นกะระยะ เรียกได้ว่าเติมความสะดวกสบายอย่างครบครัน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาเต็ม เพราะรายละเอียดของออฟชั่นภายในก็มีความแตกต่างกันในแต่ละรุ่น รวมถึงราคาด้วย
ในส่วนของเครื่องยนต์จะมีให้เลือกสองแบบ 174 แรงม้า และ 144 แรงม้า บนพื้นฐานเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ เช่นเดียวกับระบบส่งกำลังที่มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด รองรับระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่สองชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบแหนบใต้แกนเพลาพร้อมโช้คอัพไขว้
เข้าสู่การเดินทางทดสอบ ผู้เขียนได้ขับตัวถังคิงแค็บ เครื่องยนต์ 144 แรงม้า ขับเคลื่อน2ล้อ โดยมีความแตกต่างของระบบส่งกำลังแบบธรรมดาในวันแรก และได้ลองสัมผัสเกียร์อัตโนมัติในวันที่สอง ซึ่งการตอบสนองของเครื่องยนต์ อัตราเร่งในตีนต้นไม่ถึงกับรุนแรง แต่ก็ไม่ถึงกับอืดอาด เป็นลักษณะของช่องตรงกลาง “ไม่เด่น ไม่ด้อย” ขณะที่ความเร็วปลายไม่เน้น เพราะขับขี่เป็นขบวนคาราวาน ยืนพื้นที่ 80-110 กม./ชม. ทำให้การควบคุมไม่ต้องเกร็งมากนัก
ทางด้านการควบคุมได้ข้อสรุปเห็นพ้องกับบัดดี้ที่นั่งคู่กันไปว่า พวงมาลัยเซตมาอ่อนไปนิด ช่วงล่างแข็งไปหน่อย บนเส้นทางถนนลาดยางนั่งสบาย เข้าโค้งมั่นใจ แต่เมื่อวิ่งเข้าสู่ชายแดนเปลี่ยนเป็นทางลูกรัง อวัยวะเครื่องในก็มีอาการหวั่นไหวบ้างเหมือนกัน ทั้งนี้ พอเข้าใจได้ว่า ตัวถังถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานบรรทุกเป็นหลัก ความกระด้างแค่นี้ไม่ซีเรียส
แต่ครั้นจะมองหาความบันเทิงหรือลองออฟชั่นที่ติดมาสักหน่อย เจ้ากรรมรถคันที่ได้นั่งก็ดันไม่ได้มีมาให้ มีเพียงปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงมุ่งสมาธิไปที่การขับขี่หวังกลับมาเขียนบรรยายความรู้สึกให้ตรงกับตัวรถมากที่สุด จังหวะเดียวกับเสียงเพลงบนเครื่องเล่นซีดี เพลงให้กำลังใจคนโสดในช่วงวันวาเลนไทน์ดังขึ้นมาว่า “...เป็นความรักที่ไม่ถึงกับสุข เป็นความทุกข์ที่ไม่ถึงกับเศร้า...มีแค่ความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ” ซึ่งผู้เขียนคิดว่าอาจจะใช้ประโยคนี้แทนความรู้สึกของการจับพวงมาลัย มาร่วมทริปทดสอบครั้งนี้ก็เป็นได้
ทิ้งท้าย... นิสสัน นาวารา แกรนด์ ไททาเนียม และสปอร์ตเวอร์ชั่น เสริมความหล่อ เติมความเท่ ขณะที่สมรรถนะการขับเคลื่อนและการควบคุมยังให้อารมณ์เดิม โดยเฉพาะช่วงล่างที่เน้นการใช้งานหนัก พละกำลังมาแบบสมเหตุสมผล ขณะที่ตัวรถขนอุปกรณ์ออปชันมาเต็มคุ้มค่า สมกับเป็นปิกอัพคุณภาพรุ่นหนึ่งของเมืองไทย
บางกระแสบ้างว่าทีมงานของนิสสันมัวมุ่งมั่นดันตัวเลขและดื่มด่ำกับยอดขายกลุ่ม “อีโคคาร์” จนหลงลืมการสานต่อของตลาดปิกอัพ ซึ่งคนไทยเคยคุ้นชื่อแบรนด์ในฐานะผู้จำหน่ายรถปิกอัพยี่ห้อแรกในไทยมาอย่างยาวนาน หรือบ้างก็ว่าทีมงานการตลาดยังคงใช้ชุดเดิมเพียงไม่กี่คนนั่นแหละ แล้วแบบนี้จะให้แยกร่างไปสร้างการรับรู้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร
แต่จะด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม ล่าสุดสัปดาห์เทศกาลแห่งความรักที่ผ่านมา บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดทริปทดสอบ “นาวารา” ไมเนอร์เชนจ์ 2 รุ่นใหม่ ผ่านรูปแบบขบวนคาราวาน เดินทางไกลข้ามประเทศจากอุบลราชธานีทะลุไปยังจุดผ่านแดน เมืองปากเซ และจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บนสภาพถนนไฮเวย์ และออฟโรด รวมระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร
โดยก่อนที่จะไปลงรายละเอียดของทริปทดสอบครั้งนี้ ต้องย้อนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนตัวรถกันก่อน เริ่มจาก “แกรนด์ ไททาเนียม” มาในมาดหรู รุ่นยกสูง คาลิเบอร์ ทั้งในรุ่นคิงแค็บและดับเบิ้ลแค็บ ภายนอกเพิ่มชุดแต่งใหม่ สีไททาเนียม 6 จุด ไล่ตั้งแต่กระจังหน้า การ์ดกันชนหน้า-หลัง กระจกมองข้างพร้อมฝังไฟเลี้ยว LED มือจับประตู และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่
ขณะที่ในรุ่น “สปอร์ตเวอร์ชั่น” เน้นรูปลักษณ์ความปราดเปรียว พร้อมลุยทุกอุปสรรคและเส้นทางผจญภัย ปรับโฉมเล็กน้อยทั้งในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อและสองล้อแบบยกสูง คาลิเบอร์ เติมความลงตัวด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ทรง V-Shape ขนาดใหญ่ พร้อมกันชนหน้าสไตล์สปอร์ต เช่นกันกับกระจกมองข้างโครเมียมและไฟเลี้ยวแบบ LED แต่ที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นการออกแบบล้ออัลลอยให้มีความแตกต่าง ดูเผินๆ นึกว่าล้อสำหรับรถเก๋ง
มาดูกันที่การตกแต่งเพิ่มเติมภายในห้องโดยสารกันบ้าง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมทั้งระบบความเร็วอัตโมัติหรือครูสคอนโทรล (Cruise Control) และปุ่มปรับระบบเครื่องเสียง ออกแบบเพื่อความความปลอดภัยโดยที่ผู้ขับไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย แถมเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นดีวีดีใหม่ระบบสัมผัส และไมโครโฟนไร้สายรองรับระบบบลูทูธ เพื่อรับสายโทรศัพท์เข้า-ออก อีกทั้งยังเพิ่มกล้องมองหลังขณะถอยจอด พร้อมเส้นกะระยะ เรียกได้ว่าเติมความสะดวกสบายอย่างครบครัน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาเต็ม เพราะรายละเอียดของออฟชั่นภายในก็มีความแตกต่างกันในแต่ละรุ่น รวมถึงราคาด้วย
ในส่วนของเครื่องยนต์จะมีให้เลือกสองแบบ 174 แรงม้า และ 144 แรงม้า บนพื้นฐานเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ เช่นเดียวกับระบบส่งกำลังที่มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด รองรับระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่สองชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบแหนบใต้แกนเพลาพร้อมโช้คอัพไขว้
เข้าสู่การเดินทางทดสอบ ผู้เขียนได้ขับตัวถังคิงแค็บ เครื่องยนต์ 144 แรงม้า ขับเคลื่อน2ล้อ โดยมีความแตกต่างของระบบส่งกำลังแบบธรรมดาในวันแรก และได้ลองสัมผัสเกียร์อัตโนมัติในวันที่สอง ซึ่งการตอบสนองของเครื่องยนต์ อัตราเร่งในตีนต้นไม่ถึงกับรุนแรง แต่ก็ไม่ถึงกับอืดอาด เป็นลักษณะของช่องตรงกลาง “ไม่เด่น ไม่ด้อย” ขณะที่ความเร็วปลายไม่เน้น เพราะขับขี่เป็นขบวนคาราวาน ยืนพื้นที่ 80-110 กม./ชม. ทำให้การควบคุมไม่ต้องเกร็งมากนัก
ทางด้านการควบคุมได้ข้อสรุปเห็นพ้องกับบัดดี้ที่นั่งคู่กันไปว่า พวงมาลัยเซตมาอ่อนไปนิด ช่วงล่างแข็งไปหน่อย บนเส้นทางถนนลาดยางนั่งสบาย เข้าโค้งมั่นใจ แต่เมื่อวิ่งเข้าสู่ชายแดนเปลี่ยนเป็นทางลูกรัง อวัยวะเครื่องในก็มีอาการหวั่นไหวบ้างเหมือนกัน ทั้งนี้ พอเข้าใจได้ว่า ตัวถังถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานบรรทุกเป็นหลัก ความกระด้างแค่นี้ไม่ซีเรียส
แต่ครั้นจะมองหาความบันเทิงหรือลองออฟชั่นที่ติดมาสักหน่อย เจ้ากรรมรถคันที่ได้นั่งก็ดันไม่ได้มีมาให้ มีเพียงปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงมุ่งสมาธิไปที่การขับขี่หวังกลับมาเขียนบรรยายความรู้สึกให้ตรงกับตัวรถมากที่สุด จังหวะเดียวกับเสียงเพลงบนเครื่องเล่นซีดี เพลงให้กำลังใจคนโสดในช่วงวันวาเลนไทน์ดังขึ้นมาว่า “...เป็นความรักที่ไม่ถึงกับสุข เป็นความทุกข์ที่ไม่ถึงกับเศร้า...มีแค่ความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ” ซึ่งผู้เขียนคิดว่าอาจจะใช้ประโยคนี้แทนความรู้สึกของการจับพวงมาลัย มาร่วมทริปทดสอบครั้งนี้ก็เป็นได้
ทิ้งท้าย... นิสสัน นาวารา แกรนด์ ไททาเนียม และสปอร์ตเวอร์ชั่น เสริมความหล่อ เติมความเท่ ขณะที่สมรรถนะการขับเคลื่อนและการควบคุมยังให้อารมณ์เดิม โดยเฉพาะช่วงล่างที่เน้นการใช้งานหนัก พละกำลังมาแบบสมเหตุสมผล ขณะที่ตัวรถขนอุปกรณ์ออปชันมาเต็มคุ้มค่า สมกับเป็นปิกอัพคุณภาพรุ่นหนึ่งของเมืองไทย