นายกฯ ถอดรหัส “จีดีพี” ปี 55 เชื่อ ศก.ไทยฟื้นรูปตัว “วี” โตได้ถึง 5% ลั่นทุ่มสรรพกำลังทุกด้าน เพื่อกอบกู้ ยืนยัน พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้าน มีความจำเป็น ไม่ใช่การเร่งใช้เงิน ห่วงถูกนำไปเป็นประเด็นการเมือง พร้อมสานต่อ “เอฟทีเอ” ที่ยังค้างคา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ หัวข้อ “ถอดรหัส GDP ปี 55” โดยมองว่า ในปี 2555 เป็นปีแห่งความฟื้นฟูที่ท้าทายและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทั้งนักลงทุนและประชาชนในประเทศ ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งในการฟื้นฟู ได้แก่ การออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาสร้างอนาคตประเทศและอีก 1.2 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการชดเชยเยียวยา
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า การกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทนั้น ไม่ใช่การเร่งใช้เงินตามที่มีการออกมาพูดกัน แต่เป็นการนำมาสร้างความเชื่อมั่น ทั้งประชาชนเองและนักลงทุน เพราะหากไม่มีแผนที่ชัดเจน สิ่งที่น่าห่วงก็คือ การย้ายฐานการผลิตและในขณะนี้ผู้ประกอบการเริ่มตัดสินใจ 50:50 ในการย้ายฐานจึงเป็นเหตุผลสำคัญให้เรากู้เงินจึงขอให้ทุกฝ่ายมองว่ารัฐบาลมีความตั้งใจแก้ปัญหา ไม่อยากให้มองเป็นประเด็นทางการเมือง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจไทย พบว่ามี 3 ปัจจัยที่มาจากภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประกอบด้วย 1. ความเปราะบางในสหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกทั้ง 2 ประเทศถึง 19% และจากนักท่องเที่ยวอีก 31% ทำให้ต้องกลับมาพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ และขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่มากขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง อาเซียน และอินเดีย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 15% 2. ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การย้ายกระแสการลงทุน และประการที่ 3. ภัยธรรมชาติที่จะมีผลต่อการผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร
นายกรัฐมนตรีกล่าวเสริมว่า ในปี 2555 นี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เอาไว้ที่ระดับ 5% โดยเตรียมความพร้อมเอาไว้ 3 ด้าน ได้แก่ การกระจายความเสี่ยงการส่งออกไปยังตลาดใหม่ รวมถึงตลาดที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ให้มากขึ้น เพื่อการใช้ประโยชน์ในด้านภาษีและปรับโครงสร้างการเกษตรให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งรัฐบาลจะเร่งเดินหน้าเจรจากรองการค้าที่ยังคั่งค้างกับหลายประเทศ และต้องทำให้แล้วเสร็จภายในกลางปี เช่น ประเทศจีน ออสเตรเลีย และนอร์เวย์
ขณะที่นโยบายภาคการลงทุน รัฐบาลจะเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางถนนไฮเวย์ ผ่านด่านที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เชื่อจังหวัดพิษณุโลก และไปถึงจังหวัดขอนแก่น โดยถนนเชื่อมโครงข่ายระบบโลจิสติกส์ ท่าเรือทวาย แหลมฉบัง รถไฟฟ้าความเร็วสูง รวมถึงทางทะเล เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การลงทุนและเชื่อมต่อในภูมิภาคอาเซียน และลดต้นทุนภาคการขนส่งจากปัจจุบันต้นทุนการขนส่งยังสูงถึง 18% ของจีดีพี
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าการลงทุนของภาครัฐ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานในปี 2555-2559 อาทิ การก่อสร้างรถไฟฟ้า และระบบป้องกันน้ำท่วม ด้วยงบประมาณ 2.27 ล้านล้านบาท ผ่านการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดอัตราการว่างงานและการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
“รัฐบาลจะสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และภาคธุรกิจ ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ตั้งแต่ ภาพประชาชน ไปยังธุรกิจเอสเอ็มอี และไปสู่การลงทุนในบริษัทใหญ่ รวมถึงนโยบายต่างๆของรัฐบาล ทั้งการปรับโครงสร้างภาษี การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร และกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้”
ทั้งนี้ การสร้างความเชื่อมั่นของประเทศ รัฐบาลต้องการเห็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในแบบตัววี (วีเชฟ) ไม่ใช่แบบ “ยูเชฟ” โดยเชื่อว่าไตรมาสที่ 2 ปี 2555 เศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่และกำลังความสามารถ โดยจะระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อกอบกู้และฟื้นฟูเศรฐกิจของประเทศให้ได้