ค่าย “มิตซูบิชิ” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ระดับโลกและเพื่อสิ่งแวดล้อม “มิตซูบิชิ มิราจ” และเอสยูวี “มิตซูบิชิ คอนเซปต์ PX-MiEV II” ภายใต้แผจธุรกิจใหม่ “จัมป์ 2013” ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2011 โดยยืนยันไทยเป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจดังกล่าว ในฐานะเป็นฐานการผลิตรถรุ่นมิราจ มั่นใจจะทำให้ธุรกิจในไทยโตก้าวกระโดดสมชื่อ ด้วยการผลิตเพิ่มเท่าตัวเป็น 4.6 แสนคันในปีหน้า และยอดขายพุ่ง 1 หมื่นคันต่อเดือน พร้อมเตรียมตั้งดีลเลอร์เพิ่มเป็น 200 แห่ง ยันไทยเป็นฐานการผลิตหลักของมิตซูบิชิในอาเซียน ประกาศไม่ย้ายไปไหน แม้จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จนทำให้การผลิตหยุดไปชั่วคราว และส่งผลกระทบต่อธุรกิจ 3.5% เช่นเดียวกับแผนการเปิดตัวเก๋งเล็กมิราจ ที่ต้องเลื่อนไป 1-2 สัปดาห์ แต่ยืนยันเดือนมีนาคมเปิดตัวขายในไทยแห่งแรกแน่นอน ส่วนแผนทำตลาดรถพลังงานไฟฟ้า ตอนนี้กำลังดูเรื่องการลงทุน และเจรจารัฐบาลไทยขอสนับสนุนสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้า อาจจะเป็นส่วนต่างของราคา 50% เหมือนในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
หากไม่นับรวมเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงในรอบ 50 ปี นับว่าปี 2554 นี้ เป็นปีทองของค่ายรถ “มิตซูบิชิ” ก็ว่าได้ เพราะตัวเลขยอดขายเติบโตชัดเจน เฉลี่ยเดือนละ 5-6 พันคัน มีมาสะดุดช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถผลิตรถส่งมอบให้กับลูกค้าได้ เพราะโรงงานผลิตชิ้นส่วนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และมิตซูบิชิกลับมาผลิตได้อีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มิตซูบิชิน่าจะกลับมาเดินหน้ากวาดยอดขายเช่นเดิม และยิ่งต้องจับตาการเติบโตของมิตซูบิชิในอนาคต เพราะในช่วงที่ผ่านมาไม่มีรถโมเดลใหม่ ยังสามารถสร้างยอดขายพุ่งเกือบเท่าตัว เห็นได้จาก 10 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ต.ค.) ขายไปกว่า 5.6 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 88% แต่นับจากต้นปีหน้าเป็นต้นไป ภายใต้แผนธุรกิจ “จัมป์ 2013” (Jump 2013) ที่ไทยเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน จะเห็นการก้าวกระโดดชัดเจนยิ่งขึ้น?!
“มิตซูบิชิ มิราจ (Mirage) และมิตซูบิชิ คอนเซปต์ PX-MiEV II ที่เผยโฉมในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2011 ได้รับการพัฒนาขึ้นตามแผนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ในแผนธุรกิจระยะกลาง “จัมป์ 2013” ซึ่งจะช่วยให้มิตซูบิชเติบโตแบบก้าวกระโดดได้แน่นอน”
เป็นคำกล่าวของ “โอซามุ มาซูโกะ” ประธานบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวกับสื่อมวลชนไทย รวมถึง “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2011 หรือครั้งที่ 42 ซึ่งมีขึ้น ณ Tokyo Big Sight Convention Center ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม 2554 นี้
"ไทยจะเป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจจัมป์ 2013 และจะเติบโตแบบก้าวกระโดดไปพร้อมๆ กัน โดยในปี 2555 การผลิตในไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4.6 แสนคัน จากปัจจุบันที่ผลิต 2.4 แสนคัน ซึ่งกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น มาจากการผลิตมิตซูบิชิ มิราจ รถยนต์โกลบอล สมอล หรือในไทยเรียกว่าอีโคคาร์ จำนวน 1.5 แสนคัน และปิกอัพอีกประมาณกว่า 7 หมื่นคัน รวมถึงรุ่นอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง”
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มิราจ เป็นผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ระดับโลก สำหรับตลาดกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ ตามแผนธุรกิจระยะกลางจัมป์ 2013 ที่ใช้กันทั่วโลก ซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2511 และจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2514 ที่ต่อเนื่องมาจากแผนธุรกิจ “สเตป อัพ 2005” (Step UP 2005 ใช้ระหว่างปี 2005-2010) เพื่อเป้าหมายผลักดันให้มิตซูบิชิสามารถเติบโตมากขึ้น โดยหัวใจหลักอยู่ที่ทำให้ทุกคนในองค์กรยึดมั่นนโยบาย “เติบโตและก้าวกระโดดไปข้างหน้า” (Growth and Leap Forward) และการผลักดันแผนธุรกิจครอบคลุมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเน้นพัฒนารถระดับโลกและเพื่อสิ่งแวดล้อม บุกตลาดเกิดใหม่อย่าง รัสเซีย, จีน, อาเซียน และบราซิล ปรับโครงสร้างต้นทุน และองค์กรทั้งหมด รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตร เป็นต้น
โดยประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญ ภายใต้แผนธุรกิจจัมป์ 2013 ในฐานะเป็นฐานการผลิตของมิตซูบิชิในอาเซียน ซึ่งมาซูโกะบอกว่าแม้จะเกิดผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในไทย จนทำให้โรงงานผลิตของไทยหยุดไปชั่วคราว และทำให้กำลังการผลิตหายไป 2.3 หมื่นคันในปีนี้ แต่ยืนยันไทยเป็นฐานผลิตสำคัญของมิตซูบิชิ และจะไม่มีการย้ายการผลิตแต่อย่างใด โดยเชื่อว่าภายในเดือนมีนาคมปีหน้า จะสามารถเร่งการผลิตกลับมาได้ 1.5 หมื่นคัน ทำให้เหตุการณ์น้ำท่วมในไทยส่งผลกระทบเพียง 3.5% เท่านั้น (กำลังการผลิตทั้งปี 2.4 แสนคัน)
“มิตซูบิชิ มิราจ เป็นผลิตภัณฑ์หลักภายใต้แผนธุรกิจจัมป์ 2013 โดยมีไทยเป็นฐานการผลิต และจะเปิดตัวขายเป็นทางการแห่งแรกในโลก แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม จนทำให้แผนการแนะนำสู่ตลาดล่าช้าออกไป 1-2 สัปดาห์ แต่ยืนยันกำหนดการเปิดตัวและขายในไทย ยังอยู่ภายในเดือนมีนาคมเช่นเดิม”
สำหรับจุดเด่นของมิตซูบิชิ มิราจ จะเน้นความกะทัดรัด ราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดเศรษฐกิจใหม่ และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จากการประหยัดน้ำมันที่เป็นเยี่ยม และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นมิราจยังมาพร้อมความง่ายในการขับขี่ พร้อมการควบคุมที่เป็นเยี่ยมในแบบฉบับของรถยนต์ขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังให้ความสะดวกสบายจากห้องโดยสารที่กว้างขวางรองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง
มาซูโกะ บอกว่า นอกจากมิตซูบิชิ มิราจ ผลิตภัณฑ์ภายใต้แผนธุรกิจจัมป์ 2013 ยังเน้นผลิตภัณผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสีเขียว เห็นได้จากการเผยโฉมรถต้นแบบ เอสยูวี (SUV) มิตซูบิชิ คอนเซปต์ PX-MiEV II ที่โดดเด่นจากระบบขับเคลื่อนแบบ plug-in hybrid และพร้อมกันนี้ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2011 มิตซูบิชิยังมีการจัดแสดงรถ MINICAB-MiEV ซึ่งเป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และมีกำหนดจะเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นเดือนธัวาคมปีนี้ รวมไปถึง i-MiEV รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดขายอย่างเป็นทางการในตลาดต่างๆ ทั่วโลกรวมไปถึงกลุ่มประเทศในยุโรปและพร้อมจะทำตลาดในประเทศอเมริกาภายในสิ้นปีนี้
“เกี่ยวกับความคืบหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์รถพลังงานไฟฟ้าในไทย ตอนนี้กำลังมีการพูดคุยกับรัฐบาลไทยอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในส่วนของมิตซูบิชิต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน เรื่องสิทธิ์ประโยชน์พิเศษลูกค้าที่ซื้อรถพลังงานไฟฟ้า อย่างเช่นอาจจะช่วยในเรื่องของราคาเป็นอันดับแรก”
โดยมาซูโกะ บอกว่า ในประเทศญี่ปุ่นรัฐได้สนับสนุนส่วนต่างของราคา ระหว่างรถเครื่องยนต์ปกติกับรถไฟฟ้า 50% ยกตัวอย่างรถเครื่องยนต์ปกติราคา 5 แสนเยน และรถพลังงานไฟฟ้าราคา 1 ล้านเยน ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นจะให้เงินช่วยเหลือประชาชนที่ซื้อรถไฟฟ้า 50% ของส่วนต่างราคา หรือประมาณ 2.5 แสนเยน เป็นต้น
“มิตซูบิชิสนใจที่จะนำรถไฟฟ้า หรือรถพลังงานไฮบริดมาทำตลาดในไทย ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกับรัฐบาลให้ชัดเจน ถึงเงื่อนไขการสนับสนุน เพราะเป็นรถพลังงานทดแทน และช่วยลดมลพิษสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้โฟกัสของมิตซูบิชมุ่งไปที่อีโคคาร์รุ่นมิราจ และรถใหม่อื่นๆ รวมถึงการผลิตที่ขาดหายไปในช่วงน้ำท่วมเป็นหลัก”
ด้านโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมิตซูบิชิในประเทศไทย มียอดขายเฉลี่ย 5-6 พันคันต่อเดือน ในช่วงเดือนตุลาคมที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้เพียง 3,500 คัน คาดว่าเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม หลังการผลิตกลับมาปกติจะส่งมอบได้ 1 หมื่นคัน
“การเปิดตัวรุ่นมิราจ เชื่อว่าจะผลักดันยอดขายรถมิตซูบิชิ ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าภายในปี 2513 จะสามารถมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นคัน พร้อมกันนี้เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว มิตซูบิชิยังมีแผนจะเพิ่มตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์เป็น 200 แห่งภายในปีหน้า จากปัจจุบันที่มีอยู่ 150 แห่ง” มูราฮาชิกล่าว
เห็นแผนธุรกิจ “จัมป์ 2013” ของมิตซูบิชิแล้ว ต้องบอกว่า... “ก้าวกระโดด” สมชื่อ โดยเฉพาะการผลิตและตัวเลขยอดขาย แต่จะเป็นดั่งฝันหรือไม่?... รอปี 2013 หรือ 2556 เป็นคำตอบได้ดีที่สุด?!!
หากไม่นับรวมเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงในรอบ 50 ปี นับว่าปี 2554 นี้ เป็นปีทองของค่ายรถ “มิตซูบิชิ” ก็ว่าได้ เพราะตัวเลขยอดขายเติบโตชัดเจน เฉลี่ยเดือนละ 5-6 พันคัน มีมาสะดุดช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถผลิตรถส่งมอบให้กับลูกค้าได้ เพราะโรงงานผลิตชิ้นส่วนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และมิตซูบิชิกลับมาผลิตได้อีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มิตซูบิชิน่าจะกลับมาเดินหน้ากวาดยอดขายเช่นเดิม และยิ่งต้องจับตาการเติบโตของมิตซูบิชิในอนาคต เพราะในช่วงที่ผ่านมาไม่มีรถโมเดลใหม่ ยังสามารถสร้างยอดขายพุ่งเกือบเท่าตัว เห็นได้จาก 10 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ต.ค.) ขายไปกว่า 5.6 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 88% แต่นับจากต้นปีหน้าเป็นต้นไป ภายใต้แผนธุรกิจ “จัมป์ 2013” (Jump 2013) ที่ไทยเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน จะเห็นการก้าวกระโดดชัดเจนยิ่งขึ้น?!
“มิตซูบิชิ มิราจ (Mirage) และมิตซูบิชิ คอนเซปต์ PX-MiEV II ที่เผยโฉมในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2011 ได้รับการพัฒนาขึ้นตามแผนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ในแผนธุรกิจระยะกลาง “จัมป์ 2013” ซึ่งจะช่วยให้มิตซูบิชเติบโตแบบก้าวกระโดดได้แน่นอน”
เป็นคำกล่าวของ “โอซามุ มาซูโกะ” ประธานบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวกับสื่อมวลชนไทย รวมถึง “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2011 หรือครั้งที่ 42 ซึ่งมีขึ้น ณ Tokyo Big Sight Convention Center ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม 2554 นี้
"ไทยจะเป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจจัมป์ 2013 และจะเติบโตแบบก้าวกระโดดไปพร้อมๆ กัน โดยในปี 2555 การผลิตในไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4.6 แสนคัน จากปัจจุบันที่ผลิต 2.4 แสนคัน ซึ่งกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น มาจากการผลิตมิตซูบิชิ มิราจ รถยนต์โกลบอล สมอล หรือในไทยเรียกว่าอีโคคาร์ จำนวน 1.5 แสนคัน และปิกอัพอีกประมาณกว่า 7 หมื่นคัน รวมถึงรุ่นอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง”
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มิราจ เป็นผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ระดับโลก สำหรับตลาดกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ ตามแผนธุรกิจระยะกลางจัมป์ 2013 ที่ใช้กันทั่วโลก ซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2511 และจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2514 ที่ต่อเนื่องมาจากแผนธุรกิจ “สเตป อัพ 2005” (Step UP 2005 ใช้ระหว่างปี 2005-2010) เพื่อเป้าหมายผลักดันให้มิตซูบิชิสามารถเติบโตมากขึ้น โดยหัวใจหลักอยู่ที่ทำให้ทุกคนในองค์กรยึดมั่นนโยบาย “เติบโตและก้าวกระโดดไปข้างหน้า” (Growth and Leap Forward) และการผลักดันแผนธุรกิจครอบคลุมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเน้นพัฒนารถระดับโลกและเพื่อสิ่งแวดล้อม บุกตลาดเกิดใหม่อย่าง รัสเซีย, จีน, อาเซียน และบราซิล ปรับโครงสร้างต้นทุน และองค์กรทั้งหมด รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตร เป็นต้น
โดยประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญ ภายใต้แผนธุรกิจจัมป์ 2013 ในฐานะเป็นฐานการผลิตของมิตซูบิชิในอาเซียน ซึ่งมาซูโกะบอกว่าแม้จะเกิดผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในไทย จนทำให้โรงงานผลิตของไทยหยุดไปชั่วคราว และทำให้กำลังการผลิตหายไป 2.3 หมื่นคันในปีนี้ แต่ยืนยันไทยเป็นฐานผลิตสำคัญของมิตซูบิชิ และจะไม่มีการย้ายการผลิตแต่อย่างใด โดยเชื่อว่าภายในเดือนมีนาคมปีหน้า จะสามารถเร่งการผลิตกลับมาได้ 1.5 หมื่นคัน ทำให้เหตุการณ์น้ำท่วมในไทยส่งผลกระทบเพียง 3.5% เท่านั้น (กำลังการผลิตทั้งปี 2.4 แสนคัน)
“มิตซูบิชิ มิราจ เป็นผลิตภัณฑ์หลักภายใต้แผนธุรกิจจัมป์ 2013 โดยมีไทยเป็นฐานการผลิต และจะเปิดตัวขายเป็นทางการแห่งแรกในโลก แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม จนทำให้แผนการแนะนำสู่ตลาดล่าช้าออกไป 1-2 สัปดาห์ แต่ยืนยันกำหนดการเปิดตัวและขายในไทย ยังอยู่ภายในเดือนมีนาคมเช่นเดิม”
สำหรับจุดเด่นของมิตซูบิชิ มิราจ จะเน้นความกะทัดรัด ราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดเศรษฐกิจใหม่ และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จากการประหยัดน้ำมันที่เป็นเยี่ยม และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นมิราจยังมาพร้อมความง่ายในการขับขี่ พร้อมการควบคุมที่เป็นเยี่ยมในแบบฉบับของรถยนต์ขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังให้ความสะดวกสบายจากห้องโดยสารที่กว้างขวางรองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง
มาซูโกะ บอกว่า นอกจากมิตซูบิชิ มิราจ ผลิตภัณฑ์ภายใต้แผนธุรกิจจัมป์ 2013 ยังเน้นผลิตภัณผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสีเขียว เห็นได้จากการเผยโฉมรถต้นแบบ เอสยูวี (SUV) มิตซูบิชิ คอนเซปต์ PX-MiEV II ที่โดดเด่นจากระบบขับเคลื่อนแบบ plug-in hybrid และพร้อมกันนี้ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2011 มิตซูบิชิยังมีการจัดแสดงรถ MINICAB-MiEV ซึ่งเป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และมีกำหนดจะเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นเดือนธัวาคมปีนี้ รวมไปถึง i-MiEV รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดขายอย่างเป็นทางการในตลาดต่างๆ ทั่วโลกรวมไปถึงกลุ่มประเทศในยุโรปและพร้อมจะทำตลาดในประเทศอเมริกาภายในสิ้นปีนี้
“เกี่ยวกับความคืบหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์รถพลังงานไฟฟ้าในไทย ตอนนี้กำลังมีการพูดคุยกับรัฐบาลไทยอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในส่วนของมิตซูบิชิต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน เรื่องสิทธิ์ประโยชน์พิเศษลูกค้าที่ซื้อรถพลังงานไฟฟ้า อย่างเช่นอาจจะช่วยในเรื่องของราคาเป็นอันดับแรก”
โดยมาซูโกะ บอกว่า ในประเทศญี่ปุ่นรัฐได้สนับสนุนส่วนต่างของราคา ระหว่างรถเครื่องยนต์ปกติกับรถไฟฟ้า 50% ยกตัวอย่างรถเครื่องยนต์ปกติราคา 5 แสนเยน และรถพลังงานไฟฟ้าราคา 1 ล้านเยน ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นจะให้เงินช่วยเหลือประชาชนที่ซื้อรถไฟฟ้า 50% ของส่วนต่างราคา หรือประมาณ 2.5 แสนเยน เป็นต้น
“มิตซูบิชิสนใจที่จะนำรถไฟฟ้า หรือรถพลังงานไฮบริดมาทำตลาดในไทย ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกับรัฐบาลให้ชัดเจน ถึงเงื่อนไขการสนับสนุน เพราะเป็นรถพลังงานทดแทน และช่วยลดมลพิษสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้โฟกัสของมิตซูบิชมุ่งไปที่อีโคคาร์รุ่นมิราจ และรถใหม่อื่นๆ รวมถึงการผลิตที่ขาดหายไปในช่วงน้ำท่วมเป็นหลัก”
ด้านโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมิตซูบิชิในประเทศไทย มียอดขายเฉลี่ย 5-6 พันคันต่อเดือน ในช่วงเดือนตุลาคมที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้เพียง 3,500 คัน คาดว่าเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม หลังการผลิตกลับมาปกติจะส่งมอบได้ 1 หมื่นคัน
“การเปิดตัวรุ่นมิราจ เชื่อว่าจะผลักดันยอดขายรถมิตซูบิชิ ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าภายในปี 2513 จะสามารถมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นคัน พร้อมกันนี้เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว มิตซูบิชิยังมีแผนจะเพิ่มตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์เป็น 200 แห่งภายในปีหน้า จากปัจจุบันที่มีอยู่ 150 แห่ง” มูราฮาชิกล่าว
เห็นแผนธุรกิจ “จัมป์ 2013” ของมิตซูบิชิแล้ว ต้องบอกว่า... “ก้าวกระโดด” สมชื่อ โดยเฉพาะการผลิตและตัวเลขยอดขาย แต่จะเป็นดั่งฝันหรือไม่?... รอปี 2013 หรือ 2556 เป็นคำตอบได้ดีที่สุด?!!