นอกจากรถยนต์รุ่นใหม่ที่บรรดาค่ายผู้ผลิตต่างนำมาเปิดตัวเพื่อเป็นไฮไลท์ของงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28” หรือ “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2011” ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2554 นี้ ณ อาคาร ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดที่สำคัญ ไม่พ้นรถต้นแบบหรือคอนเซปต์คาร์ ซึ่งต่างพร้อมหน้าจับมือกันมาโชว์ตัวในงานนี้เป็นประจำทุกปีด้วยเช่นกัน
นำโดย เชฟโรเลต เตรียมนำ “อีเอ็น-วี” และ “มีเรย์” ที่สุดแห่งยานยนต์ต้นแบบ ภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนก้าวล้ำอนาคต” (Further and Beyond the future) ให้สาธารณชนผู้เข้าชมงานได้ร่วมก้าวสู่ศตวรรษที่สองของเชฟโรเลต ไปกับที่สุดแห่งเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกยานยนต์ในอนาคต
อีเอ็น-วี ยานยนต์ต้นแบบสุดล้ำทั้งสองคัน คือ สีแดงและสีน้ำเงิน ที่นำมาโชว์ในงานนี้ ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อให้ยานยนต์แต่ละคันสามารถสื่อสารระหว่างกัน พร้อมระบบเซนเซอร์ และกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่ช่วยบอกระยะห่างระหว่างรถยนต์ เพื่อการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อสิ่งกีดขวาง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพการขับขี่ อีกทั้งยังช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการเชื่อมต่อกันผ่านระบบจีพีเอส เป็นผลทำให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้เองอย่างอัตโนมัติ และปราศจากการควบคุมจากผู้ขับขี่
“อีเอ็น-วี เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่สามารถทำให้การขับขี่แบบอิสระไร้ผู้ขับขี่เป็นจริงขึ้นมาได้ ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีระบบการเตือนก่อนการออกตัวของรถยนต์ ระบบการค้นหามุมอับของสายตาขณะขับขี่ หรือ แม้แต่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ผนวกกับความสนุกสนานในการขับขี่ และการออกแบบที่มีสีสัน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้มีการนำไปใช้ในรถยนต์บางรุ่นของเจนเนอรัล มอเตอร์ส ในปัจจุบันบ้างแล้ว” อันโตนิโอ ซาร่า รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
สำหรับ เชฟโรเลต มีเรย์ เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ต้นแบบ แนวคิดหลักของการดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบ ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร จึงมีความโฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ ตัวถังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และคาร์บอนไฟเบอร์เสริมโพลิเมอร์ ที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และน้ำหนักเบา ปีก สปอยเลอร์หลังปรับระดับได้ เพิ่มแรงกดท้ายและช่วยควบคุมการไหลเวียนของอากาศ ซึ่งถูกออกแบบให้มีฝาถังน้ำมัน และช่องชาร์จไฟติดตั้งอยู่ด้านล่างอย่างแนบเนียน โดยช่องชาร์จไฟมีมาตรวัดแสดงความจุแบตเตอรี่อยู่ด้วย
มีเรย์ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าต้นแบบ “มิด-อิเลกทริก” (mid-electric) ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัว และใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 1.6 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งชาร์จไฟขณะเหยียบเบรก ให้อัตราเร่งที่คล่องแคล่ว และปราศจากมลพิษอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน มีเรย์ ยังสามารถเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังได้
ขณะที่ค่ายรถยนต์จากแดนกิมจิ ฮุนได พร้อมส่งรถต้นแบบ ไอ-โฟลว์ (I-FLOW) ต้นตำหรับการออกแบบ FLUIDIC SCULPTURE DESIGN ตัวจริง รูปทรงลู่ลมสมกับเป็นต้นแบบยานยนต์แห่งอนาคต เครื่องยนต์ขนาด 1.7 ลิตร เทอร์โบดีเซลไฮบริดทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องแรกในประวัติศาสตร์ของฮุนได ซึ่งเก็บพลังไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออน โพลิเมอร์ เครื่องยนต์เผาไหม้บริสุทธิ์กว่าด้วยค่าคาร์บอนไดออกไซด์ เพียง 85 กรัม/กม. และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ คลัทช์คู่ ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 3 ลิตร ต่อ 100 กม. (33.3 กม./ลิตร)
ทางด้านนิสสันไม่น้อยหน้า ส่งต้นแบบรถไฟฟ้า “นิสสัน นูวู” ซิตี้คาร์แฮทช์แบ็คแบบ 3 ประตูแห่งอนาคต ซึ่งแม้ไม่เปิดเผยขนาดมอเตอร์ไฟฟ้า แต่เคลมว่าสามารถความเร็วสูงสุดได้ถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง การเก็บพลังงานใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออน ที่มีอายุการใช้งานนานมากถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร โดดเด่นด้วยขนาดกะทัดรัดแต่ให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า ด้วยระยะเวลาการชาร์จไฟ สำหรับการเสียบปลั๊ก 220 โวลต์ เพียง 3-4 ชั่วโมง หรือว่าจะเข้าโหมด Quick Charge ซึ่งใช้เวลาเพียง 10-20 นาทีเท่านั้น
มาถึงคิวของค่ายมาสด้า เตรียมโชว์ตัวรถต้นแบบของ บีที-50 (BT-50) ปิกอัพสไตล์สปอร์ต ที่ทีมพัฒนาและวิจัยของมาสด้า ออกแบบใหม่ทั้งภายในและภายนอก เพิ่มมาให้ดูดุดันยิ่งกว่า แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงสร้างรอบคันใหญ่กว่าเดิมในทุกมิติ โดยเฉพาะภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีให้เลือกทั้งแบบ 2 ประตู ฟรีสไตล์แคบ หรือแคบเปิดได้ และ 4 ประตู ดับเบิลแคบ เครื่องยนต์ดีเซลใช้ระบบเชื้อเพลิงแรงดันสูงรุ่นใหม่และเทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จที่ทันสมัยมากขึ้น
สำหรับค่ายโปรตอน ภูมิใจนำเสนอ คาสตูริ (KASTURI) เป็นรถยนต์แนวคิดของโปรตอน ซากา ซึ่งเป็นรถที่ใช้โทนสีดำและสีขาวสร้างลวดลาย ทำให้เป็นรถที่ผนวกความหรูหราและความเป็นสปอร์ตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งการออกแบบในครั้งนี้ พัฒนาโดยทีมงานของโปรตอนเองล้วนๆ
ปิดท้ายที่ตัวแรงจากโลตัส เรโนลท์ จีพี เป็นรถแข่งที่ผลิตขึ้นมาจากความร่วมมือของทีม โลตัส เรโนลท์ และโปรตอน โดยที่โปรตอนเป็นผู้สนับสนุนหลักทีมโลตัส เรโนลท์ ในการแข่งขัน FORMULA 1 ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องของสมรรถนะและการออกแบบในระดับนานาชาติ
นำโดย เชฟโรเลต เตรียมนำ “อีเอ็น-วี” และ “มีเรย์” ที่สุดแห่งยานยนต์ต้นแบบ ภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนก้าวล้ำอนาคต” (Further and Beyond the future) ให้สาธารณชนผู้เข้าชมงานได้ร่วมก้าวสู่ศตวรรษที่สองของเชฟโรเลต ไปกับที่สุดแห่งเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกยานยนต์ในอนาคต
อีเอ็น-วี ยานยนต์ต้นแบบสุดล้ำทั้งสองคัน คือ สีแดงและสีน้ำเงิน ที่นำมาโชว์ในงานนี้ ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อให้ยานยนต์แต่ละคันสามารถสื่อสารระหว่างกัน พร้อมระบบเซนเซอร์ และกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่ช่วยบอกระยะห่างระหว่างรถยนต์ เพื่อการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อสิ่งกีดขวาง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพการขับขี่ อีกทั้งยังช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการเชื่อมต่อกันผ่านระบบจีพีเอส เป็นผลทำให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้เองอย่างอัตโนมัติ และปราศจากการควบคุมจากผู้ขับขี่
“อีเอ็น-วี เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่สามารถทำให้การขับขี่แบบอิสระไร้ผู้ขับขี่เป็นจริงขึ้นมาได้ ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีระบบการเตือนก่อนการออกตัวของรถยนต์ ระบบการค้นหามุมอับของสายตาขณะขับขี่ หรือ แม้แต่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ผนวกกับความสนุกสนานในการขับขี่ และการออกแบบที่มีสีสัน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้มีการนำไปใช้ในรถยนต์บางรุ่นของเจนเนอรัล มอเตอร์ส ในปัจจุบันบ้างแล้ว” อันโตนิโอ ซาร่า รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
สำหรับ เชฟโรเลต มีเรย์ เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ต้นแบบ แนวคิดหลักของการดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบ ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร จึงมีความโฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ ตัวถังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และคาร์บอนไฟเบอร์เสริมโพลิเมอร์ ที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และน้ำหนักเบา ปีก สปอยเลอร์หลังปรับระดับได้ เพิ่มแรงกดท้ายและช่วยควบคุมการไหลเวียนของอากาศ ซึ่งถูกออกแบบให้มีฝาถังน้ำมัน และช่องชาร์จไฟติดตั้งอยู่ด้านล่างอย่างแนบเนียน โดยช่องชาร์จไฟมีมาตรวัดแสดงความจุแบตเตอรี่อยู่ด้วย
มีเรย์ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าต้นแบบ “มิด-อิเลกทริก” (mid-electric) ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัว และใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 1.6 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งชาร์จไฟขณะเหยียบเบรก ให้อัตราเร่งที่คล่องแคล่ว และปราศจากมลพิษอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน มีเรย์ ยังสามารถเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังได้
ขณะที่ค่ายรถยนต์จากแดนกิมจิ ฮุนได พร้อมส่งรถต้นแบบ ไอ-โฟลว์ (I-FLOW) ต้นตำหรับการออกแบบ FLUIDIC SCULPTURE DESIGN ตัวจริง รูปทรงลู่ลมสมกับเป็นต้นแบบยานยนต์แห่งอนาคต เครื่องยนต์ขนาด 1.7 ลิตร เทอร์โบดีเซลไฮบริดทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องแรกในประวัติศาสตร์ของฮุนได ซึ่งเก็บพลังไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออน โพลิเมอร์ เครื่องยนต์เผาไหม้บริสุทธิ์กว่าด้วยค่าคาร์บอนไดออกไซด์ เพียง 85 กรัม/กม. และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ คลัทช์คู่ ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 3 ลิตร ต่อ 100 กม. (33.3 กม./ลิตร)
ทางด้านนิสสันไม่น้อยหน้า ส่งต้นแบบรถไฟฟ้า “นิสสัน นูวู” ซิตี้คาร์แฮทช์แบ็คแบบ 3 ประตูแห่งอนาคต ซึ่งแม้ไม่เปิดเผยขนาดมอเตอร์ไฟฟ้า แต่เคลมว่าสามารถความเร็วสูงสุดได้ถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง การเก็บพลังงานใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออน ที่มีอายุการใช้งานนานมากถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร โดดเด่นด้วยขนาดกะทัดรัดแต่ให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า ด้วยระยะเวลาการชาร์จไฟ สำหรับการเสียบปลั๊ก 220 โวลต์ เพียง 3-4 ชั่วโมง หรือว่าจะเข้าโหมด Quick Charge ซึ่งใช้เวลาเพียง 10-20 นาทีเท่านั้น
มาถึงคิวของค่ายมาสด้า เตรียมโชว์ตัวรถต้นแบบของ บีที-50 (BT-50) ปิกอัพสไตล์สปอร์ต ที่ทีมพัฒนาและวิจัยของมาสด้า ออกแบบใหม่ทั้งภายในและภายนอก เพิ่มมาให้ดูดุดันยิ่งกว่า แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงสร้างรอบคันใหญ่กว่าเดิมในทุกมิติ โดยเฉพาะภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีให้เลือกทั้งแบบ 2 ประตู ฟรีสไตล์แคบ หรือแคบเปิดได้ และ 4 ประตู ดับเบิลแคบ เครื่องยนต์ดีเซลใช้ระบบเชื้อเพลิงแรงดันสูงรุ่นใหม่และเทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จที่ทันสมัยมากขึ้น
สำหรับค่ายโปรตอน ภูมิใจนำเสนอ คาสตูริ (KASTURI) เป็นรถยนต์แนวคิดของโปรตอน ซากา ซึ่งเป็นรถที่ใช้โทนสีดำและสีขาวสร้างลวดลาย ทำให้เป็นรถที่ผนวกความหรูหราและความเป็นสปอร์ตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งการออกแบบในครั้งนี้ พัฒนาโดยทีมงานของโปรตอนเองล้วนๆ
ปิดท้ายที่ตัวแรงจากโลตัส เรโนลท์ จีพี เป็นรถแข่งที่ผลิตขึ้นมาจากความร่วมมือของทีม โลตัส เรโนลท์ และโปรตอน โดยที่โปรตอนเป็นผู้สนับสนุนหลักทีมโลตัส เรโนลท์ ในการแข่งขัน FORMULA 1 ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องของสมรรถนะและการออกแบบในระดับนานาชาติ