ข่าวต่างประเทศ-หลังจากที่ทางจีเอ็มและเซี่ยงไฮ้ ออโต้ อินดัสตรี้ คอร์ปอเรชัน หรือเอสเอไอซีไ ด้มีการลงนามด้านความร่วมมือในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทางด้านสหภาพแรงงานของบริษัท โอเปิล เอจี แบรนด์รถยนต์จากยุโรปในเครือจีเอ็มก็ออกมาให้ความเห็นว่า จีเอ็มควรจะดึงโอเปิลเข้ามามีส่วนในการทำงานครั้งนี้ด้วย เพื่อความยั่งยืนและเป็นการการันตีสถานะของโอเปิลในอนาคต
เคลาส์ ฟรานซ์ ประธานสหภาพแรงงานของโอเปิล เอจี เปิดเผยว่า การร่วมลงทุนระหว่างเอสเอไอซีกับจีเอ็มเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสม แต่ทางจีเอ็มควรจะเปิดโอกาสให้โอเปิลเข้าไปมีส่วนกับโครงการนี้ด้วย ในเหตุผลของการขยายกิจการ เพราะในปัจจุบันโอเปิลถูกจำกัดการทำตลาดโดยเน้นไปที่ตลาดยุโรปเป็นหลัก ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิ์ในการขยายตัวออกไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
การออกมากล่าวครั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการให้จีเอ็มแสดงจุดยืนต่ออนาคตของโอเปิลที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมา แบรนด์รถยนต์นี้มักจะถูกมองข้าม และมีข่าวว่าจะโดนขายทอดตลาดหลายต่อหลายครั้งนับจากปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่จีเอ็มประสบปัญหาล้มละลายจนต้องเข้าสู่กระบวนการพิทักษ์สินทรัพย์
โดยก่อนหน้านี้ทางด้านนายกรัฐมนตรี แอลเจลา แมร์เคิล ของเยอรมนีได้ออกโรงมากระตุ้นทางจีเอ็มให้แสดงความชัดเจนกับสถานะและบทบาทของแบรนด์โอเปิล ซึ่งทางจีเอ็มก็ออกมายืนยันว่า ในช่วง 10 ปีนับจากนี้พวกเขาจะพยายามรักษาแบรนด์นี้เอาไว้ และไม่มีการขายทอดตลาดเหมือนกับที่มีข่าวลือออกมา
อย่างไรก็ตาม จากการที่จีเอ็มพยายามยกระดับแบรนด์อย่างเชฟโรเลตให้กลายมาเป็นโกลบอล แบรนด์ในการเจาะตลาดรถยนต์ทั่วโลก ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของบรรดาทีมผู้บริหารของโอเปิล เพราะเชฟโรเลตกับโอเปิลมีกลุ่มตลาดที่ทับซ้อนกัน และการที่จีเอ็มเลือกเชฟโรเลตให้เป็นแบรนด์หมายเลข 1 สำหรับขายทั่วโลก เท่ากับว่าเป็นการบอกใบ้ถึงอนาคตของโอเปิลว่าจะต้องจำกัดตัวเองอยู่แค่ในตลาดยุโรป ไม่สามารถออกไปเจาะตลาดแห่งอื่นๆ ได้
ส่วนในด้านของสถานการณ์ความมั่นคงของบริษัทนั้น คาร์ล ฟรีดิช สตาร์คเค่ ซีอีโอของโอเปิลเปิดเผยว่า ในตอนนี้บริษัทกลับมาสู่สภาพที่เท่าทุนในการดำเนินกิจการอีกครั้ง หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด และการที่ปี 2011 บริษัทอยู่ในสภาวะเท่าทุนนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากว่าเป็นการบรรลุเป้าหมายก่อนกำหนดการที่วางเอาไว้ อีกทั้งในปีนี้เชื่อว่าโอเปิลน่าจะมียอดขายรถยนต์อยู่ในระดับ 1.3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจาก 1.19 ล้านคันในปี 2010
เคลาส์ ฟรานซ์ ประธานสหภาพแรงงานของโอเปิล เอจี เปิดเผยว่า การร่วมลงทุนระหว่างเอสเอไอซีกับจีเอ็มเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสม แต่ทางจีเอ็มควรจะเปิดโอกาสให้โอเปิลเข้าไปมีส่วนกับโครงการนี้ด้วย ในเหตุผลของการขยายกิจการ เพราะในปัจจุบันโอเปิลถูกจำกัดการทำตลาดโดยเน้นไปที่ตลาดยุโรปเป็นหลัก ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิ์ในการขยายตัวออกไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
การออกมากล่าวครั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการให้จีเอ็มแสดงจุดยืนต่ออนาคตของโอเปิลที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมา แบรนด์รถยนต์นี้มักจะถูกมองข้าม และมีข่าวว่าจะโดนขายทอดตลาดหลายต่อหลายครั้งนับจากปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่จีเอ็มประสบปัญหาล้มละลายจนต้องเข้าสู่กระบวนการพิทักษ์สินทรัพย์
โดยก่อนหน้านี้ทางด้านนายกรัฐมนตรี แอลเจลา แมร์เคิล ของเยอรมนีได้ออกโรงมากระตุ้นทางจีเอ็มให้แสดงความชัดเจนกับสถานะและบทบาทของแบรนด์โอเปิล ซึ่งทางจีเอ็มก็ออกมายืนยันว่า ในช่วง 10 ปีนับจากนี้พวกเขาจะพยายามรักษาแบรนด์นี้เอาไว้ และไม่มีการขายทอดตลาดเหมือนกับที่มีข่าวลือออกมา
อย่างไรก็ตาม จากการที่จีเอ็มพยายามยกระดับแบรนด์อย่างเชฟโรเลตให้กลายมาเป็นโกลบอล แบรนด์ในการเจาะตลาดรถยนต์ทั่วโลก ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของบรรดาทีมผู้บริหารของโอเปิล เพราะเชฟโรเลตกับโอเปิลมีกลุ่มตลาดที่ทับซ้อนกัน และการที่จีเอ็มเลือกเชฟโรเลตให้เป็นแบรนด์หมายเลข 1 สำหรับขายทั่วโลก เท่ากับว่าเป็นการบอกใบ้ถึงอนาคตของโอเปิลว่าจะต้องจำกัดตัวเองอยู่แค่ในตลาดยุโรป ไม่สามารถออกไปเจาะตลาดแห่งอื่นๆ ได้
ส่วนในด้านของสถานการณ์ความมั่นคงของบริษัทนั้น คาร์ล ฟรีดิช สตาร์คเค่ ซีอีโอของโอเปิลเปิดเผยว่า ในตอนนี้บริษัทกลับมาสู่สภาพที่เท่าทุนในการดำเนินกิจการอีกครั้ง หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด และการที่ปี 2011 บริษัทอยู่ในสภาวะเท่าทุนนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากว่าเป็นการบรรลุเป้าหมายก่อนกำหนดการที่วางเอาไว้ อีกทั้งในปีนี้เชื่อว่าโอเปิลน่าจะมียอดขายรถยนต์อยู่ในระดับ 1.3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจาก 1.19 ล้านคันในปี 2010
