เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ เล็งปี 55 กลับมาทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์ได้ หลังแผนฟื้นฟูสำเร็จ หลังมีสถาบันทั้งในและต่างประเทศ สนใจสนับสนุนเงินทุน 60 ล้านบาท หวังนำไปเปิดสาขาใหม่อีก 3 แห่ง ภายใน 2 ปี ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ 30 คันต่อเดือน จากปัจจุบันมีรายได้จากให้บริการซ่อมบำรุงเดือนละ 8 ล้านบาทต่อสาขา
นายกิตติมา สุทัศน์ ณ อยุธยา กรรมการบริษัท เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ SECC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างทำแผนฟื้นฟูกิจการฉบับเต็มของบริษัทให้เสร็จภายใน 3 เดือนหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้บริษัทมีการจัดทำแผนฟื้นฟู เพื่อเสนอให้คณะกรรมการบริษัทเห็นชอบและเสนอให้คณะกรรมการเจ้าหนี้เห็นชอบ ซึ่งบริษัทคาดว่าหากคณะกรรมการเจ้าหนี้ของบริษัทอนุมัติแผนบริษัทจะกลับมาสามารถดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติในปี 55 เพื่อนำเข้ารถยนต์มาจำหน่ายและทำกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ จากปัจจุบันที่บริษัทให้บริการศูนย์ซ่อมบำรุง และทำหน้าที่รับฝากขายรถยนต์นำเข้า ซึ่งมีรายได้จำนวน 8 ล้านบาทต่อเดือนต่อสาขา
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีมีสถาบันการเงินไทยที่จะเข้ามาให้การสนับสนุนเงินทุนและบริษัทส่งออกรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นจะเข้ามาเป็นพันธมิตร รวมเป็นวงเงิน 60 ล้านบาท ซึ่งหากคณะกรรมการเจ้าหนี้เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทก็จะมีเงินเข้ามาในการขยายธุรกิจได้ทันที โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาอีก 3 สาขา ภายใน 2 ปี ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์จำนวน 30 คันต่อเดือน แต่หากรวมยอดขายรถยนต์ 5 สาขา จะมียอดขายรถยนต์จำนวน 50 คันต่อเดือน ภายใน 3 ปีข้างหน้า
“รายได้ของบริษัทหลังจากกลับมาทำธุรกิจแหมือนเดิมบริษัทจะมีรายได้จากการขายรถยนต์ต่อคันที่ 3 ล้านบาท และบริษัทจะมีรายได้จากการซ่อมรถยนต์ต่อเดือนที่ 8 ล้านบาทต่อเดือนต่อสาขา” นายกิตติมา กล่าว
สำหรับในด้านความมั่นใจของลูกค้าในการเข้ามาซื้อรถยนต์ของบริษัทนั้น บริษัทจะทำผลสำรวจเกี่ยวกับสุขภาพแบรนด์สินค้าของบริษัทว่าจะสาขาที่จะขายรถยนต์ได้หรือไม่ หลังจากช่วงปี 51ที่บริษัทประสบปัญหาลูกค้าจำนวน 200-300 ราย ที่ซื้อรถยนต์จากบริษัทไม่สามารถที่จะจดทะเบียนรถยนต์ได้ โดยหากผลสำรวจพบว่าลูกค้าไม่เชื่อมั่น บริษัทจะเปลี่ยนแบรนด์ใหม่หมด หรือปรับเปลี่ยนแบรนด์เล็กน้อย แต่จากผลการสำรวจที่ผ่านมาบริษัทได้สอบถามกับลูกค้าที่มาใช้บริการซ่อมบำรุงรถกับบริษัทนั้น มั่นใจที่จะเข้ามาซื้อรถยนต์และเข้ามาใช้บริการซ่อมบำรุงกับบริษัท
นายกิตติมา กล่าวว่า บริษัทมีหนี้สินรวมอยู่ที่ 700 ล้านบาท โดยมีเจ้าหนี้จำนวน 200 ราย ซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่คือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะ ที่ปรึกษาคือ บล.ซิกโก้ อยู่ระหว่างจัดทำแผนอยู่ แต่บริษัทคาดว่าภายใน 2 ปี จะสามารถชำระหนี้ให้หมด
ส่วนงบการเงินของบริษัทที่ยังไม่สามารถส่งให้กับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพราะ ที่ผ่านไม่สามารถหาผู้สอบบัญชีที่ขึ้นบัญชีกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ แต่หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางอนุมัติให้บริษัทฟื้นฟูกิจการได้ก็จะทำให้บริษัทหาผู้สอบบัญชีเข้ามาตรวจสอบงบบริษัทได้
นายกิตติมา สุทัศน์ ณ อยุธยา กรรมการบริษัท เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ SECC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างทำแผนฟื้นฟูกิจการฉบับเต็มของบริษัทให้เสร็จภายใน 3 เดือนหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้บริษัทมีการจัดทำแผนฟื้นฟู เพื่อเสนอให้คณะกรรมการบริษัทเห็นชอบและเสนอให้คณะกรรมการเจ้าหนี้เห็นชอบ ซึ่งบริษัทคาดว่าหากคณะกรรมการเจ้าหนี้ของบริษัทอนุมัติแผนบริษัทจะกลับมาสามารถดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติในปี 55 เพื่อนำเข้ารถยนต์มาจำหน่ายและทำกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ จากปัจจุบันที่บริษัทให้บริการศูนย์ซ่อมบำรุง และทำหน้าที่รับฝากขายรถยนต์นำเข้า ซึ่งมีรายได้จำนวน 8 ล้านบาทต่อเดือนต่อสาขา
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีมีสถาบันการเงินไทยที่จะเข้ามาให้การสนับสนุนเงินทุนและบริษัทส่งออกรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นจะเข้ามาเป็นพันธมิตร รวมเป็นวงเงิน 60 ล้านบาท ซึ่งหากคณะกรรมการเจ้าหนี้เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทก็จะมีเงินเข้ามาในการขยายธุรกิจได้ทันที โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาอีก 3 สาขา ภายใน 2 ปี ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์จำนวน 30 คันต่อเดือน แต่หากรวมยอดขายรถยนต์ 5 สาขา จะมียอดขายรถยนต์จำนวน 50 คันต่อเดือน ภายใน 3 ปีข้างหน้า
“รายได้ของบริษัทหลังจากกลับมาทำธุรกิจแหมือนเดิมบริษัทจะมีรายได้จากการขายรถยนต์ต่อคันที่ 3 ล้านบาท และบริษัทจะมีรายได้จากการซ่อมรถยนต์ต่อเดือนที่ 8 ล้านบาทต่อเดือนต่อสาขา” นายกิตติมา กล่าว
สำหรับในด้านความมั่นใจของลูกค้าในการเข้ามาซื้อรถยนต์ของบริษัทนั้น บริษัทจะทำผลสำรวจเกี่ยวกับสุขภาพแบรนด์สินค้าของบริษัทว่าจะสาขาที่จะขายรถยนต์ได้หรือไม่ หลังจากช่วงปี 51ที่บริษัทประสบปัญหาลูกค้าจำนวน 200-300 ราย ที่ซื้อรถยนต์จากบริษัทไม่สามารถที่จะจดทะเบียนรถยนต์ได้ โดยหากผลสำรวจพบว่าลูกค้าไม่เชื่อมั่น บริษัทจะเปลี่ยนแบรนด์ใหม่หมด หรือปรับเปลี่ยนแบรนด์เล็กน้อย แต่จากผลการสำรวจที่ผ่านมาบริษัทได้สอบถามกับลูกค้าที่มาใช้บริการซ่อมบำรุงรถกับบริษัทนั้น มั่นใจที่จะเข้ามาซื้อรถยนต์และเข้ามาใช้บริการซ่อมบำรุงกับบริษัท
นายกิตติมา กล่าวว่า บริษัทมีหนี้สินรวมอยู่ที่ 700 ล้านบาท โดยมีเจ้าหนี้จำนวน 200 ราย ซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่คือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะ ที่ปรึกษาคือ บล.ซิกโก้ อยู่ระหว่างจัดทำแผนอยู่ แต่บริษัทคาดว่าภายใน 2 ปี จะสามารถชำระหนี้ให้หมด
ส่วนงบการเงินของบริษัทที่ยังไม่สามารถส่งให้กับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพราะ ที่ผ่านไม่สามารถหาผู้สอบบัญชีที่ขึ้นบัญชีกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ แต่หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางอนุมัติให้บริษัทฟื้นฟูกิจการได้ก็จะทำให้บริษัทหาผู้สอบบัญชีเข้ามาตรวจสอบงบบริษัทได้