xs
xsm
sm
md
lg

ซีตรองกลับมาจัดเต็ม ส่งรหัสดีเอสครบไลน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

Citroen C5
 ข่าวในประเทศ - ค่ายรถตราจ่าโท “ซีตรอง” จากเมืองน้ำหอม กลับมารุกตลาดรถไทย หลังจากประเดิมปูทางฟื้นแบรนด์ กับรถใหม่ “ซีตรอง ดีเอส3” ไปในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 และได้รับการตอบรับดีเกินคาด โควต้าที่ได้รับมา 300 คัน พฤษภาคมที่ผ่านมาส่งมอบเกือบหมด ตอนนี้เหลือเพียง 80 คันเท่านั้น ทำให้มองไกลถึงตัวเลขปีหน้า โดยคาดจะมียอดขายพุ่งเท่าตัว จากการยกขบวนรถตระกูล “ดีเอส” มาบุกตลาดไทยครบไลน์ ตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็น “ซีตรอง ดีเอส4” เก๋งสปอต์ตแฮตช์แบ็กยกสูง เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร และตามมาด้วยรุ่น “ดีเอส5” กับการฉีกตลาดรถหรูขนาดกลาง ในรูปทรงตัวถังสปอร์ตแวกอน หวังเจาะคนที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบความแตกต่าง แต่ยังไม่ทิ้งกลุ่มตลาดรถครอบครัว ปลายปีนี้เตรียมนำเข้า “ซีตรอง ซี5” มาทำตลาดเช่นกัน เผยยึดนโยบายบล็อกราคาไม่สูงเกินไป กันเกรย์มาร์เก็ตเข้ามาตีกิน เพื่อที่จะได้เดินหน้าเน้นงานขายและบริการหลังการขายได้เต็มที่
Citroen C5
แม้กลุ่มดีเอดี ยนตรกิจ (DAD Yontrakit) หรือกลุ่มบริษัท ไดเรคชันแนล ออโตโมบิลส์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ที่นำแบรนด์รถยนต์ ซีตรอง, สโกด้า, และเซียท แยกออกมาจากกลุ่มยนตรกิจ กลับมารุกตลาดรถยนต์ในไทยอีกครั้ง พร้อมกับรถยนต์ที่อยู่ในมือมาก่อน อย่างยี่ห้อสปายเกอร์ และโฟตอน รวมถึงรถแต่งเอ็มทีเอ็ม(MTM) แต่ที่ผ่านมายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และจะเน้นไปที่การฟื้นแบรนด์สโกด้ามากกว่า แม้แต่ซีตรองที่ทำตลาดในไทยมานาน และมีฐานลูกค้าอยู่พอสมควร เพิ่งจะมารุกตลาดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จากการเปิดตัว “ซีตรอง ดีเอส3”(Citroen DS3) ซึ่งเป็นรถพรีเมียมในกลุ่ม “ดีเอส” ตระกูลใหม่ของซีตรอง มาชนกับ “มินิ คูเปอร์” ถึงอย่างนั้นเมื่อนับรวมกับ “จัมเปอร์” (Jumper) รถตู้อเนกประสงค์ นับว่ามีเพียง 2 รุ่นให้เลือกเท่านั้น แต่หลังจากฟื้นแบรนด์สโกด้าได้ระดับหนึ่ง ต่อไปจะถึงคราวกลับมาปั้นแบรนด์ดังจากฝรั่งเศสอีกครั้ง
“วิเชียร ลีนุตพงษ์” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มดีเอดี ยนตรกิจ
“เราชะลอการทำตลาดไประยะหนึ่ง จากการปรับโครงสร้างธุรกิจ และเริ่มกลับมาทำตลาดจริงจังๆ เมื่อปีที่ผ่านมา อย่างสโกด้าที่มีการแนะนำรุ่นใหม่มากขึ้น แต่การเพิ่งกลับมาฟื้นตลาด ทำให้ได้รับโควต้าจากบริษัทแม่ยังไม่มาก หรือซีตรองเพิ่งเปิดตัวรถรุ่นดีเอส3 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ซึ่งบริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสให้โควต้าเพียง 300 คัน และเริ่มส่งมอบไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 80 คันเท่านั้น ดังนั้นปีนี้ซีตรองคงมียอดขายไม่มากกว่านี้นัก เพราะรุ่นจัมเปอร์ก็เป็นรถเฉพาะกลุ่ม มียอดขายเพียงปีละไม่กี่สิบคันเท่านั้น”
       
นั่นเป็นคำกล่าวของ “วิเชียร ลีนุตพงษ์” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มดีเอดี ยนตรกิจ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท ยูโร ออโต เซอร์วิส จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ซีตรอง, สโกด้า และเซียท แต่วิเชียรมั่นใจว่ายอดขายในปีหน้า โดยเฉพาะซีตรองที่จะกลับมารุกตลาดเต็มที่ น่าจะเติบโตเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

Citroen DS3
“ปีหน้าซีตรองคาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 600 คัน เพราะจะมีการนำรถรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะรถในตระกูลดีเอสที่นำเข้ามาครบไลน์ จากปัจจุบันที่ทำตลาดรุ่นดีเอส3 ไปแล้ว ซึ่งในช่วงปลายปีนี้จะนำเข้าซีตรอง ดีเอส4 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรทำตลาดเพิ่ม และในปีหน้าจะนำเข้าซีตรอง ดีเอส5 มาเสริมอีกรุ่น โดยรถรุ่นดีเอสจะเป็นการยกระดับความหรูที่แตกต่าง เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์ แต่เพื่อเพิ่มทางเลือกหลากหลายมากขึ้น ปลายปีนี้เช่นกันจะนำเข้า ซีตรอง ซี5 รองรับกลุ่มลูกค้าครอบครัวเป็นผู้ใหญ่หน่อยด้วย” วิเชียรกล่าว
        
สำหรับรถยนต์รหัส “ดีเอส” (DS) ที่มาจากคำว่า Different Spirit เป็นรถยนต์ที่ซีตรองต้องการยกระดับแบรนด์ขึ้นมาอยู่ในกลุ่มพรีเมียม ระดับเดียวกับเมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และออดี้ เพื่อทำตลาดควบคู่กับรถในตระกูล “ซี” (C) โดยซีตรองเปิดตัวรุกตลาดโมเดลแรก กับซับคอมแพกต์แฮตช์แบ็ก 3 ประตู “ซีตรอง ดีเอส3” (Citroen DS3) ที่ได้รับการตอบรับอย่างมาก จากที่ได้โควตามา 300 คัน และเริ่มเปิดรับจองในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 80 คันเท่านั้น

Citroen DS4
ซีตรอง ดีเอส4 (Citroen DS4) เป็นโมเดลที่สองของรหัสดีเอส เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกช่วงกลางปีนี้ ด้วยตัวถังแฮตช์แบ็ก 5 ประตูยกสูง ในสไตล์ของรถครอสโอเวอร์ทรงสปอร์ต โดยยกระดับความหรูมาจากพื้นฐานของคอมแพ็กต์คาร์ ซีตรอง ซี4(Citroen C4) แต่ออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและภายในใหม่หมด จนดูคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้ (หลังคาลาดเอียงและซ้อนมือจับประตูไว้ข้างหน้าต่าง คล้ายกับอัลฟา 156)
        
ขุมพลังของดีเอส4 มีให้เลือก 3 แบบ เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1600 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VTi กำลัง 120 แรงม้า และแบบเทอร์โบ 155 แรงม้า และ 200 แรงม้า ซึ่งเป็นบล็อกเดียวกับที่เปอโยต์-ซีตรอง ร่วมพัฒนากับบีเอ็มดับเบิลยู ขณะที่อีก 2 รุ่น เป็นขุมพลังเทอร์โบดีเซล 110 และ 160 แรงม้า เลือกได้ว่าจะส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งรุ่นเทอร์โบดีเซล มากับระบบที่เรียก e-HDi โดยมีการติดตั้งระบบ Auto Start/stop เหมือนกับรถไฮบริด รวมถึงมีการนำพลังงานที่เกิดขึ้นในระหว่างการเบรกมาแปรรูปเป็นกระแสไฟฟ้า เพื่อเก็บในแบตเตอรี่

Citroen DS4
ด้านซีตรอง ดีเอส5 เป็นโมเดลสุดท้ายของสายพันธุ์ดีเอส ที่เพิ่งเผยโฉมเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อเจาะกลุ่มตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดกลาง ด้วยตัวถังแบบสปอร์ตแวกอน ที่เน้นความอเนกประสงค์ผสมผสานกับความหรูหรา และจะเริ่มวางตลาดในยุโรปปลายปีนี้
        
ดีเอส5 ถูกกำหนดระดับตลาดเทียบเคียงกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์3, เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส และออดี้ เอ4 แต่ถูกนำเสนอทางเลือกใหม่ ด้วยความแปลกและไม่เหมือนใคร กับตัวถังแบบแวกอน เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการไม่ซ้ำใครในท้องตลาด ตามคอนเซ็ปต์ของรถตระกูลนี้

นอกจากนี้ความโดดเด่นของ ซีตรอง ดีเอส5 ยังอยู่ที่การนำเสนอรูปแบบใหม่ของการขับเคลื่อน ด้วยเทคโนโลยีไฮบริดของกลุ่มพีเอสเอ (PSA) อย่างไฮบริด4 ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแบบ 4 สูบ 2000 ซีซี 163 แรงม้าเป็นต้นกำลัง และมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 37 แรงม้า วางอยู่ที่เพลาท้ายรับหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อน หรือขับเคลื่อนแบบเดี่ยวๆ ก็ได้ ซึ่งหากทั้งสองระบบทำงานร่วมกันจะได้กำลังระดับ 200 แรงม้าเลยทีเดียว

Citroen DS5
ส่วนซีตรอง ซี5 เป็นรถขนาดกลางกลุ่ม D-Segment เป็นรถในตระกูลซีของค่ายจ่าโท ซึ่งเข้ามาทำตลาดรุ่นซองเทียมาตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา แต่โฉมใหม่ที่ทำตลาดในปัจจุบัน ฉีกรูปแบบเดิมๆ จากทรงลิฟท์แบ็ก 5 ประตู มาสู่การเป็นรถซีดานหรูพันธุ์แท้ และยังมีตัวถังแวกอนให้เลือกด้วย
       
นับว่าเป็นการกลับมาจัดหนักของซีตรองในไทยอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน และทางดีเอดียนตรกิจมั่นใจลูกค้าจะให้การตอบรับ เช่นเดียวกับซีตรอง ดีเอส3 อย่างแน่นอน และไม่กลัวที่จะมีผู้นำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ตมาแย่งตลาด เพราะพยายามทำตลาดในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่กระโดดไปจากตลาดจนเกินไป

Citroen DS5
“เราไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเกรย์มาร์เก็ตเท่าไหร่ เพราะเราพยายาม ล็อคราคาไม่ให้แพงเกินไป จนเกิดช่องว่างของราคาได้ จนรู้สึกไม่คุ้มที่เขาจะนำเข้ามาทำตลาด เรื่องเกรย์มาร์เก็ตจึงไม่น่าห่วง ดังนั้นนอกจากมุ่งมั่นเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าแล้ว ตอนนี้จะมาเน้นการบริการหลังการขายเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการ 5 แห่ง และภายในสิ้นปีนี้จะเปิดเพิ่มที่ถนนหัวหมากอีกแห่ง เพื่อรองรับการให้บริการก่อนและหลังการขาย”
        
เรียกว่า... เป็นการกลับมาที่ค่อนข้างพร้อมทีเดียว ถึงอย่างนั้นหากเทียบกับคู่แข่งแล้ว ดีเอดียังต้องปลุกปั้นซีตรองกว่านี้อีกมาก แต่อย่างน้อยสาวกรถยนต์ตราจ่าโท คงอุ่นใจและยิ้มออกบ้างล่ะ?!

กำลังโหลดความคิดเห็น