เปิดแผนวาดฝัน 5 ปี ค่ายรถแดนกิมจิ “เกีย” ประกาศปั้นยอดขายพุ่ง 20 เท่า หรือดันตัวเลขทะยาน 10,000 คันต่อปี ด้วยการปรับการทำงานครอบคลุม เรื่องผลิตภัณฑ์ บริการหลังการขาย เครือข่าย และองค์กร โดยเฉพาะเรื่องสินค้ายืนยันจะเปิดตัวรถใหม่สู่ตลาดต่อเนื่องทุกๆ ปี
ประเดิมงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 นำเข้าโฉมใหม่ “เกีย พิแคนโต เค1” เครื่องยนต์ 1.25 ลิตร ราคารุ่นท็อป 4.97 แสนบาท พร้อมนำ “เกีย ออพติมา เค5” มาแสดงเทคโนโลยีไฮบริด และตรวจสอบกระแสตอบรับ เพื่อเตรียมนำเข้ามาทำตลาดชน “โตโยต้า คัมรี ไฮบริด” ในช่วงกลางปีหน้า ด้วยจุดเด่นระบบไฮบริดเต็มรูปแบบ และราคาที่ไม่แตกต่างมาก เผยภายในปีนี้กำลังศึกษานำเข้ารถซับคอมแพ็กต์ขนาด 1.5 ลิตร มาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ขณะเดียวกันชูรับประกันคุณภาพ 5 ปี เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เชื่อถึงสิ้นปีนี้ดันยอดขายพุ่ง 1,800 คัน หรือเพิ่ม 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา
ในจำนวนรถยนต์จากแดนกิมจิประเทศเกาหลีใต้ “เกีย” เป็นรถยนต์ที่อยู่ในตลาดไทยค่อนข้างต่อเนื่อง แม้จะหายไประยะหนึ่งแต่ก็กลับมาในเวลาไม่นาน แต่เมื่อดูตัวเลขยอดขายช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลับไม่ค่อยเติบโตมากนัก ซึ่งสวนทางกับแบรนด์ร่วมชาติอย่าง “ฮุนได” ที่เพิ่งกลับเข้ามาทำตลาดในไทย ปรากฏว่าเพียงระยะเวลาไม่กี่ปียอดขายโตวันโตคืน จนปีนี้มองเป้าหมายการขายทะลุครึ่งหมื่นคันไปแล้ว ขณะที่เกียปิดตัวเลขยอดขายปีที่แล้ว เพียงแค่กว่า 600 คันเท่านั้น นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างแบรนด์เกียให้เป็นที่ยอมรับและมั่นใจของผู้บริโภคชาวไทย…
“เกียวางเป้าหมายระยะ 5 ปี จะมียอดขายรถในไทยประมาณ 10,000 คัน ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับในช่วงปีที่ผ่านมา ที่มียอดขายเพียงกว่า 650 คัน”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “โจ คยู วาน” ผู้บริหารคนใหม่ของบริษัท ยนตรกิจเกีย มอเตอร์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์เกียในประเทศไทย บริษัทในกลุ่มยนตรกิจ คอร์ปอเรชั่น และได้เปิดเผยกับ “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ถึงแผนการดำเนินธุรกิจว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะมีการดำเนินงานครอบคลุมทั้งเรื่องของผลิตภัณฑ์ การบริการหลังการขาย เครือข่ายการขาย และปรับปรุงองค์กรใหม่ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าในไทยเกิดความเชื่อมั่น และยอมรับในแบรนด์เกียมากขึ้น
“อันดับแรกเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความสนใจให้แก่ลูกค้า โดยเกียมีแผนที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดไทยต่อเนื่องทุกๆ ปี และล่าสุดได้มีการแนะนำโฉมใหม่ของเก๋งเล็ก เกีย พิแคนโต เค1 สู่ตลาดอย่างเป็นทางการในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกนอกประเทศเกาหลี”
แน่นอนการเปิดตัวโฉมใหม่ของ เกีย พิแคนโต เค1 (Kia Picanto K1) นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นทำตลาดเก๋งขนาดเล็กในไทย หลังจากเป็นรายแรกๆ ที่ได้บุกเบิกตลาดรถประเภทนี้ ตั้งแต่อีโคคาร์ยังไม่เกิดในตลาดรถไทย โดยโจ คยู วานกล่าวว่า พิแคนโตมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ ลูกค้าที่ซื้อรถเป็นคันแรกในชีวิต หรือเปลี่ยนจากปิกอัพมาซื้อรถเล็กใช้ และจุดเด่นที่สมรรถนะอยู่ระหว่างอีโคคาร์กับซับคอมแพกต์ แต่เป็นรถนำเข้าจากโรงงานในประเทศเกาหลีใต้ และมีราคาจำหน่ายเทียบเท่ากับเก๋งอีโคคาร์ หรือรุ่นท็อปมีราคาไม่ถึง 5 แสนบาท
เกีย พิแคนโต เค1 เป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัดแบบแฮตช์แบ็ก 5 ประตู วางเครื่องยนต์ “Kappa” อันโดดเด่นของเกีย เป็นแบบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.25 ลิตร 87 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 12.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 105 กรัม มีให้เลือก 2 ทางเลือก รุ่น LX เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ราคา 4.25 แสนบาท และรุ่นท็อป EX เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ราคา 4.97 แสนบาท
“นอกจากนี้ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 เรายังได้นำรถยนต์ไฮบริด เกีย ออพติมา เค5 มาจัดแสดงในงานด้วย เพื่อแสดงให้เห็นเทคโนโลยีล้ำสมัยของเกีย ซึ่งมีไม่แพ้ค่ายรถยนต์อื่นๆ จากทั่วโลก และยังเป็นการตรวจสอบกระแสตอบรับของตลาด เพราะเกียกำลังเตรียมนำรถรุ่นนี้มาทำตลาดในไทยปีหน้า” โจ คยู วานกล่าวและว่า
เกีย ออพติมา เค5 ไฮบริด (Kia Optima K5 Hybrid) เป็นรถยนต์ที่เพิ่งเปิดตัวทำตลาดในสหรัฐอเมริกาได้ไม่นาน เพื่อตอบสนองการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยระบบไฮบริดเต็มรูปแบบ จึงมีคุณสมบัติที่โดดเด่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งในไทยอย่าง “โตโยต้า คัมรี ไฮบริด” ยิ่งเมื่อวางจำหน่ายในราคาที่ไม่แตกต่างกันมาก จึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าทีเดียว โดยคาดว่าจะสามารถนำเข้า เกีย ออพติมา เค5 ไฮบริด มาทำตลาดในไทยประมาณช่วงกลางปี 2555
เกีย ออพติมา เค5 ไฮบริด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร 166 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 30 กิโลวัตต์(40 แรงม้า) ที่รับพลังงานจากแบตเตอรี่ “ลิเธียมโพลิเมอร์” ขนาด 34 กิโลวัตต์ ทำให้กำลังรถรวมมีทั้งสิ้น 206 แรงม้า โดยสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 9.2 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 195 กม./ฃม. ในขณะที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ประมาณ 36 และ 40 ไมล์/แกลลอน สำหรับการขับในเมืองและนอกเมืองตามลำดับ และสามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าได้สูงถึง 100 กม./ชม.
“นอกจากรถไฮบริดแล้ว ในช่วงปลายปีนี้เรากำลังพิจารณานำเข้ารถรุ่นใหม่อื่นๆ มาทำตลาดด้วย โดยขณะนี้มองไปที่รถขนาดเล็กกลุ่มซับคอมแพกต์ หรือเครื่องยนต์ประมาณ 1.5 ลิตรเข้ามาทำตลาด เพราะเป็นรถอีกกลุ่มที่กำลังได้รับความนิยมจากลูกค้าไทยมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นที่นำผลิตภัณฑ์ใหม่มาตอบสนองลูกค้า โดยเป็นไปตามแผนที่เกียวางไว้ จะมีการส่งรถรุ่นใหม่แนะนำสู่ตลาดไทยอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี”โจ คยู วาน กล่าว สรุปเกี่ยวกับแผนโปรดักต์
อย่างไรก็ตามจากคำพูดของ “โจ คยู วาน” เกี่ยวกับรถระดับ ซับคอมแพกต์ หรือ บีเซกเมนท์ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางล่าสุดของ เกีย มอเตอร์ส เพราะล่าสุดในงาน “ เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011” ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จัดการเปิดตัวโมเดลเชนจ์ของ “เกีย ริโอ”เพื่อเจาะตลาดในยุโรปแล้ว
สำหรับ “เกีย ริโอ โฉมใหม่” หรือเจเนอเรชันที่ 4 มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน โดยจะผลิตที่โรงงาน Sohari ประเทศเกาหลี จากนั้นจะส่งตัวถังแฮตซ์แบ็ก 5 ประตูทำตลาดยุโรปประมาณไตรมาส 3 ปีนี้ทันที ส่วนเมืองไทยต้องรอลุ้นว่า ยนตรกิจเกีย จะนำเข้ามาขายจริงหรือไม่ ซึ่งพิกัดเครื่องยนต์ที่เหมาะสมน่าจะเป็น เบนซิน 1.4 ลิตร
...ทั้งนี้เมื่อโปรดักต์มีความพร้อม และแผนงานชัดเจนแล้ว แต่เพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย “ยนตรกิจเกีย” ยังจัดแคมเปญ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 เกียได้นำเสนอแคมเปญส่งเสริมการจำหน่ายภายในงาน โดยผู้ที่สั่งจองเกีย พิแคนโต โฉมเก่า ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ผ่อนดาวน์ต่ำพิเศษ อัตราดอกเบี้ย 1.99% ผ่อน 48 เดือน หรือเลือกผ่อน 72 เดือน และผู้ที่จองรถอเนกประสงค์คนรุ่นใหม่ เกีย โซล ดอกเบี้ย 0% 48 เดือน หรือผู้ที่จองปิกอัพ เกีย เค29000 รับฟรีบัตรเติมน้ำมัน 1 หมื่นบาท
โจ คยู วาน กล่าวว่า ในส่วนของการบริการเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า จึงได้ให้การรับประกันคุณภาพตลอดระยะการใช้งาน 150,000 กิโลเมตร หรือ 5 ปี สำหรับรถยนต์เกียทุกรุ่นยกเว้นปิกอัพเกีย เค2900 ขณะเดียวกันจะมีการปรับปรุงพัฒนาการบริการหลังการขาย และประสิทธิภาพองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นที่พึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
“นอกจากนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของกลุ่มลูกค้า เกียจึงมีแผนที่จะปรับเพิ่มตัวแทนการจำหน่าย หรือดีลเลอร์ทั่วประเทศเป็น 24 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 17 แห่ง ดังนั้นจากแผนงานทั้งหมดที่กล่าวมา จึงมั่นใจว่าจะทำให้ยอดขายรถยนต์เกียปีนี้บรรลุ 1,800 คันตามเป้าหมาย หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น 3 เท่า ซึ่งเฉพาะรุ่นพิแคนโตตั้งเป้า 1,000 คัน”
ค่อนข้างชัดเจนในแผนรุกตลาดของค่ายเกีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการหลังการขาย และเครือข่ายการจำหน่าย แต่ตัวเลขเป้าหมายการขาย 10,000 คันต่อปี ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลหลายปีพอสมควร…
ฉะนั้นเบื้องต้นขอแค่ 1,800 คัน เพื่อเป็นบทพิสูจน์แรกฝีมือผู้บริหารใหม่คนนี้ก่อนก็แล้วกัน?!
ประเดิมงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 นำเข้าโฉมใหม่ “เกีย พิแคนโต เค1” เครื่องยนต์ 1.25 ลิตร ราคารุ่นท็อป 4.97 แสนบาท พร้อมนำ “เกีย ออพติมา เค5” มาแสดงเทคโนโลยีไฮบริด และตรวจสอบกระแสตอบรับ เพื่อเตรียมนำเข้ามาทำตลาดชน “โตโยต้า คัมรี ไฮบริด” ในช่วงกลางปีหน้า ด้วยจุดเด่นระบบไฮบริดเต็มรูปแบบ และราคาที่ไม่แตกต่างมาก เผยภายในปีนี้กำลังศึกษานำเข้ารถซับคอมแพ็กต์ขนาด 1.5 ลิตร มาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ขณะเดียวกันชูรับประกันคุณภาพ 5 ปี เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เชื่อถึงสิ้นปีนี้ดันยอดขายพุ่ง 1,800 คัน หรือเพิ่ม 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา
ในจำนวนรถยนต์จากแดนกิมจิประเทศเกาหลีใต้ “เกีย” เป็นรถยนต์ที่อยู่ในตลาดไทยค่อนข้างต่อเนื่อง แม้จะหายไประยะหนึ่งแต่ก็กลับมาในเวลาไม่นาน แต่เมื่อดูตัวเลขยอดขายช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลับไม่ค่อยเติบโตมากนัก ซึ่งสวนทางกับแบรนด์ร่วมชาติอย่าง “ฮุนได” ที่เพิ่งกลับเข้ามาทำตลาดในไทย ปรากฏว่าเพียงระยะเวลาไม่กี่ปียอดขายโตวันโตคืน จนปีนี้มองเป้าหมายการขายทะลุครึ่งหมื่นคันไปแล้ว ขณะที่เกียปิดตัวเลขยอดขายปีที่แล้ว เพียงแค่กว่า 600 คันเท่านั้น นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างแบรนด์เกียให้เป็นที่ยอมรับและมั่นใจของผู้บริโภคชาวไทย…
“เกียวางเป้าหมายระยะ 5 ปี จะมียอดขายรถในไทยประมาณ 10,000 คัน ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับในช่วงปีที่ผ่านมา ที่มียอดขายเพียงกว่า 650 คัน”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “โจ คยู วาน” ผู้บริหารคนใหม่ของบริษัท ยนตรกิจเกีย มอเตอร์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์เกียในประเทศไทย บริษัทในกลุ่มยนตรกิจ คอร์ปอเรชั่น และได้เปิดเผยกับ “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ถึงแผนการดำเนินธุรกิจว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะมีการดำเนินงานครอบคลุมทั้งเรื่องของผลิตภัณฑ์ การบริการหลังการขาย เครือข่ายการขาย และปรับปรุงองค์กรใหม่ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าในไทยเกิดความเชื่อมั่น และยอมรับในแบรนด์เกียมากขึ้น
“อันดับแรกเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความสนใจให้แก่ลูกค้า โดยเกียมีแผนที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดไทยต่อเนื่องทุกๆ ปี และล่าสุดได้มีการแนะนำโฉมใหม่ของเก๋งเล็ก เกีย พิแคนโต เค1 สู่ตลาดอย่างเป็นทางการในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกนอกประเทศเกาหลี”
แน่นอนการเปิดตัวโฉมใหม่ของ เกีย พิแคนโต เค1 (Kia Picanto K1) นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นทำตลาดเก๋งขนาดเล็กในไทย หลังจากเป็นรายแรกๆ ที่ได้บุกเบิกตลาดรถประเภทนี้ ตั้งแต่อีโคคาร์ยังไม่เกิดในตลาดรถไทย โดยโจ คยู วานกล่าวว่า พิแคนโตมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ ลูกค้าที่ซื้อรถเป็นคันแรกในชีวิต หรือเปลี่ยนจากปิกอัพมาซื้อรถเล็กใช้ และจุดเด่นที่สมรรถนะอยู่ระหว่างอีโคคาร์กับซับคอมแพกต์ แต่เป็นรถนำเข้าจากโรงงานในประเทศเกาหลีใต้ และมีราคาจำหน่ายเทียบเท่ากับเก๋งอีโคคาร์ หรือรุ่นท็อปมีราคาไม่ถึง 5 แสนบาท
เกีย พิแคนโต เค1 เป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัดแบบแฮตช์แบ็ก 5 ประตู วางเครื่องยนต์ “Kappa” อันโดดเด่นของเกีย เป็นแบบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.25 ลิตร 87 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 12.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 105 กรัม มีให้เลือก 2 ทางเลือก รุ่น LX เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ราคา 4.25 แสนบาท และรุ่นท็อป EX เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ราคา 4.97 แสนบาท
“นอกจากนี้ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 เรายังได้นำรถยนต์ไฮบริด เกีย ออพติมา เค5 มาจัดแสดงในงานด้วย เพื่อแสดงให้เห็นเทคโนโลยีล้ำสมัยของเกีย ซึ่งมีไม่แพ้ค่ายรถยนต์อื่นๆ จากทั่วโลก และยังเป็นการตรวจสอบกระแสตอบรับของตลาด เพราะเกียกำลังเตรียมนำรถรุ่นนี้มาทำตลาดในไทยปีหน้า” โจ คยู วานกล่าวและว่า
เกีย ออพติมา เค5 ไฮบริด (Kia Optima K5 Hybrid) เป็นรถยนต์ที่เพิ่งเปิดตัวทำตลาดในสหรัฐอเมริกาได้ไม่นาน เพื่อตอบสนองการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยระบบไฮบริดเต็มรูปแบบ จึงมีคุณสมบัติที่โดดเด่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งในไทยอย่าง “โตโยต้า คัมรี ไฮบริด” ยิ่งเมื่อวางจำหน่ายในราคาที่ไม่แตกต่างกันมาก จึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าทีเดียว โดยคาดว่าจะสามารถนำเข้า เกีย ออพติมา เค5 ไฮบริด มาทำตลาดในไทยประมาณช่วงกลางปี 2555
เกีย ออพติมา เค5 ไฮบริด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร 166 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 30 กิโลวัตต์(40 แรงม้า) ที่รับพลังงานจากแบตเตอรี่ “ลิเธียมโพลิเมอร์” ขนาด 34 กิโลวัตต์ ทำให้กำลังรถรวมมีทั้งสิ้น 206 แรงม้า โดยสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 9.2 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 195 กม./ฃม. ในขณะที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ประมาณ 36 และ 40 ไมล์/แกลลอน สำหรับการขับในเมืองและนอกเมืองตามลำดับ และสามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าได้สูงถึง 100 กม./ชม.
“นอกจากรถไฮบริดแล้ว ในช่วงปลายปีนี้เรากำลังพิจารณานำเข้ารถรุ่นใหม่อื่นๆ มาทำตลาดด้วย โดยขณะนี้มองไปที่รถขนาดเล็กกลุ่มซับคอมแพกต์ หรือเครื่องยนต์ประมาณ 1.5 ลิตรเข้ามาทำตลาด เพราะเป็นรถอีกกลุ่มที่กำลังได้รับความนิยมจากลูกค้าไทยมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นที่นำผลิตภัณฑ์ใหม่มาตอบสนองลูกค้า โดยเป็นไปตามแผนที่เกียวางไว้ จะมีการส่งรถรุ่นใหม่แนะนำสู่ตลาดไทยอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี”โจ คยู วาน กล่าว สรุปเกี่ยวกับแผนโปรดักต์
อย่างไรก็ตามจากคำพูดของ “โจ คยู วาน” เกี่ยวกับรถระดับ ซับคอมแพกต์ หรือ บีเซกเมนท์ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางล่าสุดของ เกีย มอเตอร์ส เพราะล่าสุดในงาน “ เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011” ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จัดการเปิดตัวโมเดลเชนจ์ของ “เกีย ริโอ”เพื่อเจาะตลาดในยุโรปแล้ว
สำหรับ “เกีย ริโอ โฉมใหม่” หรือเจเนอเรชันที่ 4 มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน โดยจะผลิตที่โรงงาน Sohari ประเทศเกาหลี จากนั้นจะส่งตัวถังแฮตซ์แบ็ก 5 ประตูทำตลาดยุโรปประมาณไตรมาส 3 ปีนี้ทันที ส่วนเมืองไทยต้องรอลุ้นว่า ยนตรกิจเกีย จะนำเข้ามาขายจริงหรือไม่ ซึ่งพิกัดเครื่องยนต์ที่เหมาะสมน่าจะเป็น เบนซิน 1.4 ลิตร
...ทั้งนี้เมื่อโปรดักต์มีความพร้อม และแผนงานชัดเจนแล้ว แต่เพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย “ยนตรกิจเกีย” ยังจัดแคมเปญ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 เกียได้นำเสนอแคมเปญส่งเสริมการจำหน่ายภายในงาน โดยผู้ที่สั่งจองเกีย พิแคนโต โฉมเก่า ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ผ่อนดาวน์ต่ำพิเศษ อัตราดอกเบี้ย 1.99% ผ่อน 48 เดือน หรือเลือกผ่อน 72 เดือน และผู้ที่จองรถอเนกประสงค์คนรุ่นใหม่ เกีย โซล ดอกเบี้ย 0% 48 เดือน หรือผู้ที่จองปิกอัพ เกีย เค29000 รับฟรีบัตรเติมน้ำมัน 1 หมื่นบาท
โจ คยู วาน กล่าวว่า ในส่วนของการบริการเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า จึงได้ให้การรับประกันคุณภาพตลอดระยะการใช้งาน 150,000 กิโลเมตร หรือ 5 ปี สำหรับรถยนต์เกียทุกรุ่นยกเว้นปิกอัพเกีย เค2900 ขณะเดียวกันจะมีการปรับปรุงพัฒนาการบริการหลังการขาย และประสิทธิภาพองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นที่พึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
“นอกจากนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของกลุ่มลูกค้า เกียจึงมีแผนที่จะปรับเพิ่มตัวแทนการจำหน่าย หรือดีลเลอร์ทั่วประเทศเป็น 24 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 17 แห่ง ดังนั้นจากแผนงานทั้งหมดที่กล่าวมา จึงมั่นใจว่าจะทำให้ยอดขายรถยนต์เกียปีนี้บรรลุ 1,800 คันตามเป้าหมาย หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น 3 เท่า ซึ่งเฉพาะรุ่นพิแคนโตตั้งเป้า 1,000 คัน”
ค่อนข้างชัดเจนในแผนรุกตลาดของค่ายเกีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการหลังการขาย และเครือข่ายการจำหน่าย แต่ตัวเลขเป้าหมายการขาย 10,000 คันต่อปี ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลหลายปีพอสมควร…
ฉะนั้นเบื้องต้นขอแค่ 1,800 คัน เพื่อเป็นบทพิสูจน์แรกฝีมือผู้บริหารใหม่คนนี้ก่อนก็แล้วกัน?!