ยังร้อนแรงต่อเนื่องสำหรับ “บีเอ็มดับเบิลยู” โดยเฉพาะรถธงที่เปิดตัวปลายปีที่แล้วอย่าง “ซีรีย์5 เครื่องยนต์ดีเซล” (F10)รุ่นประกอบในประเทศ ซึ่งแว่วๆมาว่าใครเดินเข้าโชว์รูมพร้อมวางเงินจองวันนี้ ต้องรอรถกันรากงอก 3-4 เดือน!

ทั้งนี้ค่ายใบพัดสีฟ้าแบ่งการทำตลาด “ซีรีย์5 ดีเซล” เป็น 2 รุ่นย่อยคือ 525d เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร และ 520d เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร โดยรุ่นแรกอัดออปชันมาเต็มสูบ สนนราคา 4.399 ล้านบาท ส่วนรุ่นหลังเป็นทางเลือกคุ้มค่าราคาประหยัด 3.699 ล้านบาท
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้รุ่น 525d มาลองขับเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งถือว่าทิ้งระยะห่างข้ามปีจากการทดสอบรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และแน่นอนว่าความคาดหวัง(ตั้งหน้าตั้งตารอ) ของผู้เขียน ที่มีต่อ“ซีรีย์5 ดีเซล” ก็มีมากกว่าด้วย
...สุดท้ายแล้ว 525d ไม่ทำให้ผิดหวังครับ และถ้าว่าด้วยสมรรถนะการขับล้วนๆ ต้องบอกว่า เป็นรถหรู“ดีเซล”ที่เหนือชั้นที่สุดรุ่นหนึ่งแห่งยุค

ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล แบบ 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ผลิตจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมเทอร์โบแปรผัน รีดกำลังได้สูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,750รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา7.2วินาที
การขับในโหมดปกติ (Normal) พละกำลังมาทันใจ ออกตัวมีอาการหลังติดเบาะนิดๆ การขับแบบค่อยๆกดคันเร่ง รถก็พุ่งทะยานใช้ได้ เรียกว่าไม่ต้องเข่นหรือบดบี้ให้เมื่อยเท้า ขณะเดียวกันด้วยการเป็นรถ 8 เกียร์ รอบก็ไม่สวิงขึ้น-ลง สูญเสียกำลังเกินจำเป็น ที่สำคัญความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุด รอบเครื่องอยู่แค่ 1,500 รอบเท่านั้น
ส่วนการขับโหมดสปอร์ต(Sport) รถจะปรับช่วงล่างให้หนึบขึ้นมาอีกนิด (ไม่ยุ่งกับเครื่องยนต์) ตรงนี้น่าจะเหมาะกับการวิ่งทางไกล ส่วนใครอยากเร้าใจสุดขั้ว ก็เลือกปรับไปเป็นสปอร์ต พลัส (Sport+) ที่เครื่องยนต์ เกียร์ จะจัดจ้านพร้อมรบ ส่วนช่วงล่างเฟิร์มแน่น แต่กระนั้นก็จะตัดระบบควบคุมการทรงตัวออกไป

อย่างที่บอกครับว่า โหมดปกติ (Normal) พลังก็มาตามเท้าแล้ว แต่พอเป็น “สปอร์ต พลัส” การขับจะสนุกขึ้นมาอีกโข โดยรอบเครื่องยนต์จะรออยู่ระดับ 1,600-2,000 เตรียมพร้อมทุกจังหวะเร่ง สำหรับการควบคุมผ่านพวงมาลัยไฟฟ้าServotronic กระชับถนัดมือ ส่วนการขับบนความเร็วสูงก็หน่วงน้ำหนัก พร้อมเซ็ทอัตราทดเลี้ยว ไว้ได้พอดิบพอดี(ไม่คมจนเกินไป)
การเลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองสนุกมือ ใครชอบเชนอยากลากรอบขอแนะนำให้ใช้แพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย ที่แป้นใหญ่ และระยะห่างพอดีนิ้วมือ (ใช้แบบจอยสติกส์แล้วรู้สึกแปลกๆไม่สนุก) การสั่งงานตอบสนองรวดเร็ว แต่เสียตรงการโชว์เลขเกียร์ที่หน้าปัด ตัวเล็กไปนิด
แม้จะเป็นเครื่อง 6 สูบ แต่การเก็บเสียงและแรงสั่นอาการสะเทือนในห้องโดยสาร บีเอ็มดับเบิลยูเก็บงานมาเนี้ยบ กรณีเข้าไปนั่งในห้องโดยสารเฉยๆ และไม่จับผิดติดสังเกตจริงๆ แถบไม่รู้ว่านี่คือรถเครื่องยต์ดีเซล
อย่างไรก็ตามการวิ่งบนท้องถนน เสียงเครื่องมีเล็ดลอดเข้ามาบ้างยาม เข่นคันเร่ง หรือเชนเกียร์คิกดาวน์ ขณะที่เสียงลมปะทะไม่มีหลุดดังน่ารำคาญ แต่จะมีนิดหน่อยคือเสียงยาง(รันเฟลต)บดพื้นถนน
ในส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย บีเอ็มดับเบิลยูเคลมไว้ 16.4 กม./ลิตร แต่ประสบการณ์จากผู้เขียนเอง หลังวิ่งทางไกลนอกเมืองใช้ความเร็ว120-140 กม./ลิตร รวมถึงเจอรถติดหนักแบบ 40-50นาที ได้ตัวเลขจากหน้าจอดิจิตอล 12-13 กม./ลิตร
นอกเหนือจากสมรรถนะแล้ว สิ่งที่บีเอ็มดับเบิลยูจัดหนักไม่แพ้กัน คือออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัย ซึ่งในรุ่น 525d จะให้มามากกว่า 520d ทั้ง พวงมาลัยมีปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชัน พร้อมแพดเดิลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์ ระบบนำทาง BMW Navigation System Professional ที่มีฮาร์ดดิสก์ขนาด 12 กิ๊กกะไบท์สำรองไว้ให้สำหรับเก็บข้อมูลไฟล์เพลง mp3

ทั้งยังเสริมด้วยระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้ออัจฉริยะ Integral Active Steering ซึ่งการขับความเร็วสูง เช่น การเปลี่ยนเลน ล้อหลังจะทำปรับมุมในทิศเดียวกับล้อหน้า เพื่อช่วยลดการโยนตัวด้านท้าย เพิ่มเสถียรภาพความปลอดภัยและความสบายสำหรับผู้โดยสาร แต่กลับกันในขณะใช้ความเร็วต่ำ เช่น การบังคับเลี้ยวในลานจอดรถแคบๆ ล้อหลังจะทำมุมตรงข้ามกับล้อหน้า เพื่อช่วยลดรัศมีวงเลี้ยว และเพิ่มความคล่องตัว
รวบรัดตัดความ... แค่ขึ้นไปนั่งเล่นออปชันต่างๆของ 525dก็ตาลายแล้ว แต่ยังดีที่มีระบบ iDrive ควบคุมฟังก์ชันต่างๆผ่านปุ่มบริเวณคอนโซลกลางใช้ง่าย ส่วนเทคโนโลยียานยนต์ รวมถึงเครื่องยนต์ เกียร์ชุดใหม่ ที่ทันสมัย ให้การตอบสนองการขับยอดเยี่ยม โดยคุณสามารถเลือกระดับความเร้าใจได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามการขับเรื่อยๆในโหมดปกติรู้สึกว่าช่วงล่างจะนุ่มกว่า ซีรีย์ 5 ตัวเก่า (E60) อยู่พอสมควร...ส่วนใครไม่มุ่งออปชัน และหวังอัตราบริโภคน้ำมันที่เป็นมิตรกว่านี้ ก็เชิญที่ 520d ที่ถูกกว่า 7 แสน ส่วนสมรรถนะการขับอาจไม่เร้าใจเท่า แต่เชื่อว่าถ้าแปะตราใบพัดสีฟ้าแล้ว “รถดีเซล”ไม่ขี้เหร่แน่นอน





ทั้งนี้ค่ายใบพัดสีฟ้าแบ่งการทำตลาด “ซีรีย์5 ดีเซล” เป็น 2 รุ่นย่อยคือ 525d เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร และ 520d เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร โดยรุ่นแรกอัดออปชันมาเต็มสูบ สนนราคา 4.399 ล้านบาท ส่วนรุ่นหลังเป็นทางเลือกคุ้มค่าราคาประหยัด 3.699 ล้านบาท
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้รุ่น 525d มาลองขับเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งถือว่าทิ้งระยะห่างข้ามปีจากการทดสอบรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และแน่นอนว่าความคาดหวัง(ตั้งหน้าตั้งตารอ) ของผู้เขียน ที่มีต่อ“ซีรีย์5 ดีเซล” ก็มีมากกว่าด้วย
...สุดท้ายแล้ว 525d ไม่ทำให้ผิดหวังครับ และถ้าว่าด้วยสมรรถนะการขับล้วนๆ ต้องบอกว่า เป็นรถหรู“ดีเซล”ที่เหนือชั้นที่สุดรุ่นหนึ่งแห่งยุค
ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล แบบ 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ผลิตจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมเทอร์โบแปรผัน รีดกำลังได้สูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,750รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา7.2วินาที
การขับในโหมดปกติ (Normal) พละกำลังมาทันใจ ออกตัวมีอาการหลังติดเบาะนิดๆ การขับแบบค่อยๆกดคันเร่ง รถก็พุ่งทะยานใช้ได้ เรียกว่าไม่ต้องเข่นหรือบดบี้ให้เมื่อยเท้า ขณะเดียวกันด้วยการเป็นรถ 8 เกียร์ รอบก็ไม่สวิงขึ้น-ลง สูญเสียกำลังเกินจำเป็น ที่สำคัญความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุด รอบเครื่องอยู่แค่ 1,500 รอบเท่านั้น
ส่วนการขับโหมดสปอร์ต(Sport) รถจะปรับช่วงล่างให้หนึบขึ้นมาอีกนิด (ไม่ยุ่งกับเครื่องยนต์) ตรงนี้น่าจะเหมาะกับการวิ่งทางไกล ส่วนใครอยากเร้าใจสุดขั้ว ก็เลือกปรับไปเป็นสปอร์ต พลัส (Sport+) ที่เครื่องยนต์ เกียร์ จะจัดจ้านพร้อมรบ ส่วนช่วงล่างเฟิร์มแน่น แต่กระนั้นก็จะตัดระบบควบคุมการทรงตัวออกไป
อย่างที่บอกครับว่า โหมดปกติ (Normal) พลังก็มาตามเท้าแล้ว แต่พอเป็น “สปอร์ต พลัส” การขับจะสนุกขึ้นมาอีกโข โดยรอบเครื่องยนต์จะรออยู่ระดับ 1,600-2,000 เตรียมพร้อมทุกจังหวะเร่ง สำหรับการควบคุมผ่านพวงมาลัยไฟฟ้าServotronic กระชับถนัดมือ ส่วนการขับบนความเร็วสูงก็หน่วงน้ำหนัก พร้อมเซ็ทอัตราทดเลี้ยว ไว้ได้พอดิบพอดี(ไม่คมจนเกินไป)
การเลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองสนุกมือ ใครชอบเชนอยากลากรอบขอแนะนำให้ใช้แพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย ที่แป้นใหญ่ และระยะห่างพอดีนิ้วมือ (ใช้แบบจอยสติกส์แล้วรู้สึกแปลกๆไม่สนุก) การสั่งงานตอบสนองรวดเร็ว แต่เสียตรงการโชว์เลขเกียร์ที่หน้าปัด ตัวเล็กไปนิด
แม้จะเป็นเครื่อง 6 สูบ แต่การเก็บเสียงและแรงสั่นอาการสะเทือนในห้องโดยสาร บีเอ็มดับเบิลยูเก็บงานมาเนี้ยบ กรณีเข้าไปนั่งในห้องโดยสารเฉยๆ และไม่จับผิดติดสังเกตจริงๆ แถบไม่รู้ว่านี่คือรถเครื่องยต์ดีเซล
อย่างไรก็ตามการวิ่งบนท้องถนน เสียงเครื่องมีเล็ดลอดเข้ามาบ้างยาม เข่นคันเร่ง หรือเชนเกียร์คิกดาวน์ ขณะที่เสียงลมปะทะไม่มีหลุดดังน่ารำคาญ แต่จะมีนิดหน่อยคือเสียงยาง(รันเฟลต)บดพื้นถนน
ในส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย บีเอ็มดับเบิลยูเคลมไว้ 16.4 กม./ลิตร แต่ประสบการณ์จากผู้เขียนเอง หลังวิ่งทางไกลนอกเมืองใช้ความเร็ว120-140 กม./ลิตร รวมถึงเจอรถติดหนักแบบ 40-50นาที ได้ตัวเลขจากหน้าจอดิจิตอล 12-13 กม./ลิตร
นอกเหนือจากสมรรถนะแล้ว สิ่งที่บีเอ็มดับเบิลยูจัดหนักไม่แพ้กัน คือออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัย ซึ่งในรุ่น 525d จะให้มามากกว่า 520d ทั้ง พวงมาลัยมีปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชัน พร้อมแพดเดิลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์ ระบบนำทาง BMW Navigation System Professional ที่มีฮาร์ดดิสก์ขนาด 12 กิ๊กกะไบท์สำรองไว้ให้สำหรับเก็บข้อมูลไฟล์เพลง mp3
ทั้งยังเสริมด้วยระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้ออัจฉริยะ Integral Active Steering ซึ่งการขับความเร็วสูง เช่น การเปลี่ยนเลน ล้อหลังจะทำปรับมุมในทิศเดียวกับล้อหน้า เพื่อช่วยลดการโยนตัวด้านท้าย เพิ่มเสถียรภาพความปลอดภัยและความสบายสำหรับผู้โดยสาร แต่กลับกันในขณะใช้ความเร็วต่ำ เช่น การบังคับเลี้ยวในลานจอดรถแคบๆ ล้อหลังจะทำมุมตรงข้ามกับล้อหน้า เพื่อช่วยลดรัศมีวงเลี้ยว และเพิ่มความคล่องตัว
รวบรัดตัดความ... แค่ขึ้นไปนั่งเล่นออปชันต่างๆของ 525dก็ตาลายแล้ว แต่ยังดีที่มีระบบ iDrive ควบคุมฟังก์ชันต่างๆผ่านปุ่มบริเวณคอนโซลกลางใช้ง่าย ส่วนเทคโนโลยียานยนต์ รวมถึงเครื่องยนต์ เกียร์ชุดใหม่ ที่ทันสมัย ให้การตอบสนองการขับยอดเยี่ยม โดยคุณสามารถเลือกระดับความเร้าใจได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามการขับเรื่อยๆในโหมดปกติรู้สึกว่าช่วงล่างจะนุ่มกว่า ซีรีย์ 5 ตัวเก่า (E60) อยู่พอสมควร...ส่วนใครไม่มุ่งออปชัน และหวังอัตราบริโภคน้ำมันที่เป็นมิตรกว่านี้ ก็เชิญที่ 520d ที่ถูกกว่า 7 แสน ส่วนสมรรถนะการขับอาจไม่เร้าใจเท่า แต่เชื่อว่าถ้าแปะตราใบพัดสีฟ้าแล้ว “รถดีเซล”ไม่ขี้เหร่แน่นอน