xs
xsm
sm
md
lg

บีเอ็มฯ ขึ้นไลน์ผลิต Vision EfficientDynamics

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ข่าวต่างประเทศ- บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เตรียมนำ BMW Vision EfficientDynamics เข้าสู่สายการผลิต ซึ่งจะเป็นครั้งแรกสำหรับเทคโนโลยี Diesel + Plug-in ActiveHybrid จากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป โดย BMW Vision EfficientDynamics ได้เผยโฉมสู่สาธารณชนครั้งแรกในงานแฟรงค์เฟิร์ทมอเตอร์โชว์ 2009 และได้รับเสียงชื่นชมและการตอบรับอย่างล้นหลามจากทั่วโลก ทั้งในแง่ของดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่ ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

BMW Vision EfficientDynamics เป็นรถสปอร์ต 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ที่ได้รับทั้งรางวัลต่างๆ ทั้งในแง่ของดีไซน์ล้ำยุคและเทคโนโลยีที่เหนือชั้น รูปทรงที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวของ BMW Vision EfficientDynamics แฝงไว้ด้วยคุณสมบัติด้านแอร์โร่ไดนามิกส์ ด้วยค่าสัมประสิทธิแรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) เพียง 0.22 อีกทั้งความสง่างามที่ผสมผสานกับประโยชน์ใช้สอยได้อย่างลงตัว โดยประตูแบบปีกผีเสื้อช่วยให้การขึ้น-ลงของผู้โดยสารด้านหลังเป็นไปได้อย่างสะดวก

ระบบขับเคลื่อนแบบ Diesel + Plug-in ActiveHybrid โดยเป็นการผสมผสานการทำงานของระบบเครื่องยนต์ดีเซล 3 สูบเข้ากับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hybrid Synchronous Motor สำหรับขับเคลื่อนล้อคู่หน้าและระบบ Full Hybrid สำหรับขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ซึ่งทั้งสามระบบสามารถผลิตกำลังรวมได้สูงสุดถึง 328 แรงม้า และด้วยนวัตกรรมระบบ ActiveHybrid นี้เองทำให้ BMW Vision EfficientDynamics สามารถเร่งจากหยุดนิ่งถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยได้ถึง 26.6 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ยเพียง 99 กรัมต่อกิโลเมตร ภายใต้มาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU Cycle และใช้เวลาชาร์จไฟเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง

BMW Vision EfficientDynamics ใช้ระบบแบตเตอรี่แบบ Lithium-Polymer ซึ่งมีน้ำหนักเบา ถูกจัดวางอยู่ตามแนวยาวของแชสซี เพื่อให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและเพิ่มเนื้อที่ใช้สอยในห้องโดยสารและห้องเก็บสัมภาระ BMW Vision EfficientDynamics สามารถวิ่งด้วยโหมด Zero-emission Motoring โดยใช้ระบบพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร ซึ่งถ้าผนวกการทำงานเข้ากับระบบเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งมีถังน้ำมันความจุ 24 ลิตร จะสามารถเพิ่มระยะวิ่งได้ถึง 700 กิโลเมตร

การตัดสินใจเดินหน้าผลิตรถสปอร์ตที่อยู่บนพื้นฐานของ BMW Vision EfficientDynamics ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน Sustainability หรือ อนาคตที่ยั่งยืน อย่างมั่นใจสมฐานะ world’s most sustainable car company ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ถึง 6 ปีซ้อน อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดความเป็นผู้นำตลาดรถหรูแนวสปอร์ตที่เป็นพื้นฐานของบริษัทมาตั้งแต่เริ่มต้น

รถสปอร์ตที่อยู่บนพื้นฐานของ BMW Vision EfficientDynamics เป็นการต่อยอดปรัชญา EfficientDynamics ซึ่งเป็นปรัชญาพื้นฐานของรถยนต์รุ่นต่างๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในวันปัจจุบัน ซึ่งในรถยนต์ทุกรุ่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้มีการผนวกรวมเทคโนโลยี EfficientDynamics ต่างๆ เช่น ระบบแอร์โร่ไดนามิกส์, ระบบโครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบา, ระบบบริหารพลังงานอัจฉริยะ และระบบเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง นอกจากนั้นยังมีรถยนต์ไฮบริดภายใต้เทคโนโลยี ActiveHybrid อีก 2 รุ่น คือ BMW ActiveHybrid 7 และ BMW ActiveHybrid X6

ในขณะเดียวกันวิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็มีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เช่น MINI E และ BMW ActiveE ซึ่งจะนำลงวิ่งในโครงการนำร่องสำหรับวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในเมืองขนาดใหญ่เหมือนกับ MINI E ในปีนี้ โดยทั้งสองรุ่นนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาไปสู่ MCV Megacity Vehicle ซึ่งจะเข้าสู่สายการผลิตในปี ค.ศ. 2013
กำลังโหลดความคิดเห็น