xs
xsm
sm
md
lg

ยันบริโอไม่ส่งผลมาร์ช ปี’54 ชี้ทิศตลาดปิกอัพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อีโคคาร์รุ่น “มาร์ช” ช่วยให้ค่ายนิสสันในไทยกลับมาเติบโตอย่างมาก แต่ในปี 2554 นี้เต็มไปด้วยขวากหนาม เพราะจะมีคู่แข่งที่เป็นอีโคคาร์โดยตรง “ฮอนด้า บริโอ” แนะนำสู่ตลาด รวมถึงตลาดปิกอัพที่จะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง จึงน่าสนใจว่านิสสันมองสถานการณ์ดังกล่าว และจะรับมืออย่างไร ทั้งหมดฟังจากปากของ “ประพัฒน์ เชยชม” รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด น่าจะชัดเจนที่สุด...

มองการเปิดตัวบริโออย่างไร?

กรณีที่ฮอนด้าเปิดอีโคคาร์รุ่น “บริโอ” ออกมานั้น ได้มีการพูดคุยกับทางผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ แล้ว เห็นตรงกันว่า ฮอนด้า บริโอ มีฐานลูกค้าคนละกลุ่มกับ นิสสัน มาร์ช เนื่องจากรูปลักษณ์ของรถ เป็นการพัฒนารถที่เล็กกว่า ฮอนด้า แจ๊ซ เน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ แต่สำหรับมาร์ชมีขนาดกว้างขวาง ทั้งเรื่องของดีไซน์ และกลุ่มลูกค้า สามารถตอบสนองได้หลากหลายกลุ่ม ทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน และผู้ใหญ่ จึงไม่ได้กังวลในเรื่องนี้

ทั้งนี้ นิสสัน มาร์ช ปัจจุบันยังได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดจองรุ่นมาร์ชแค่ 500 คัน แต่ปรากฏว่ามียอดจองสูงถึง 1,300 คัน แม้ลูกค้าจะทราบดีว่าต้องรอรับรถนานถึงเมษายน-พฤษภาคม 2554 ก็ตาม และปัจจุบันมียอดจองค้างส่งมอบอยู่กว่า 10,000 คัน

จะเปิดตัวอีโคคาร์แบบซีดาน

นิสสันได้ประกาศไว้แต่แรกแล้วว่า จะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างน้อยปีละ 1 รุ่น ส่วนจะเป็นรุ่นใดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนอีโคคาร์แบบซีดาน หรือรุ่น 4 ประตู ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการ เพื่อดูว่าจะแนะนำสู่ตลาดในช่วงใด เนื่องจากปัจจุบัน นิสสัน มาร์ช ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากยอดค้างส่งมอบลูกค้าอยู่ 4-5 เดือน

ประเมินตลาดรถไทยปี 2554

ในปี 2554 ยังเป็นปีทองอีกปีหนึ่งของอุตสาหกรรมยานยนต์เมืองไทย ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากปี 2553 โดยคาดว่าตลาดรวมรถยนต์เมืองไทยปีนี้ จะมีปริมาณขายราว 840,000-850,000 คัน โดยรถยนต์ขนาดเล็กจะได้รับความนิยมมากกว่ารถประเภทอื่น และปีนี้ยังจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่จะกำหนดหรือชี้ทิศทางการเติบโตหรือหดตัวของตลาดปิกอัพด้วย

สำหรับนิสสันคาดว่าจะมียอดขายประมาณ 75,000 คัน โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมากว่า 15,000 คัน ซึ่งส่วนใหญ่ยังจะเป็น นิสสัน มาร์ช แม้จะมีค่ายอื่นเปิดตัวอีโคคาร์ออกสู่ตลาด แต่นิสสันเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด

เงื่อนไขที่อาจส่งผลกระทบ

จริงอยู่ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศฟื้นตัวดีขึ้นมาก โดยสังเกตจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออก รวมถึงปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศปี 2553 ซึ่งน่าจะมีจำนวนกว่า 780,000 คัน แต่ในปี 2554 ก็ยังมีความท้าทายด้านต่างๆ มาเป็นปัจจัยในการพิจารณาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมืองที่เข้าสู่ฤดูการเลือกตั้ง และราคาน้ำมัน ซึ่งล้วนคาดเดาได้ยาก โดยเฉพาะการเมืองไทย แม้จะเป็นช่วงปีของการเลือกตั้งก็ตาม แต่หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอมรับผลแพ้ชนะ ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองได้อีก

ที่ว่าปีนี้จะชี้ทิศตลาดปิกอัพ

แน่นอนปีนี้นับเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่จะชี้ทิศทางของตลาดปิกอัพ เพราะค่ายผู้ผลิตรถปิกอัพ เตรียมจะเปิดรถรุ่นใหม่ลงตลาด ขณะเดียวกันค่ายอื่นๆ ที่ทำตลาดรถยนต์ประเภทนี้อยู่ ก็เตรียมจะเปิดตัวรุ่นใหม่กันตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดปิกอัพยังมีอยู่ แต่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียงใดนั้น คงต้องดูจากความนิยมรถยนต์ขนาดเล็กด้วย เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้รถปิกอัพที่ไม่ได้ใช้เพื่อการพาณิชย์หรือบรรทุก ส่วนหนึ่งได้หันมาใช้รถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้น ซึ่งหากความนิยมในรถเล็กมีปริมาณสูง ตลาดรถปิกอัพจะหดตัวลง แต่ไม่ถึงกับทำให้ตลาดรถยนต์ปิกอัพตกต่ำมากนัก เนื่องจากยังมีกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถเพื่อการขนส่ง เช่น ชาวไร่ชาวนา ค้าขาย และบรรทุกสินค้า แต่ตลาดอาจจะไม่โตนัก

ในส่วนของปิกอัพนิสสันเพิ่งปรับเพิ่มอุปกรณ์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา จึงจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และได้รับการตอบรับจากลูกค้าพอสมควร ที่สำคัญปัจจุบันกำลังการผลิตเต็มที่แล้ว จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้

นิสสันจับมือมิตซูฯผลิตปิกอัพ

เป็นการทำข้อตกลงของทาง นิสสัน มอเตอร์ และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ถึงความร่วมมือกันในการผลิตรถยนต์ของบริษัททั้งสอง แต่ยังไม่ได้ลงในรายละเอียด ซึ่งเท่าที่ทราบคร่าวๆ ในส่วนของนิสสันได้ตกลงให้มิตซูบิชิในประเทศไทย ผลิตปิกอัพ “นิสสัน นาวารา” ให้ น่าจะเริ่มใน 1-2 ปีข้างหน้า

เนื่องจากปัจจุบันโรงงานผลิตรถยนต์ที่บางนา กม.22 มีกำลังผลิตเต็มที่ 200,000 คัน และได้บริหารจัดการในกระบวนการผลิตแล้ว จนทำให้ขยายกำลังผลิตเต็มที่ได้ไม่เกิน 210,000 คัน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถจะผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้ทัน เนื่องจากปริมาณความต้องการรถจากตลาดสูงกว่ากำลังผลิต หากจะสร้างโรงงานให้นอกจากใช้เงินถึงหลายพันล้านบาทแล้ว ยังต้องใช้เวลาร่วม 2 ปีกว่าโรงงานจะมีความพร้อมในการผลิตรถยนต์ได้ ตรงนี้จึงเป็นสาเหตุให้ทางผู้บริหารเร่งหามาตรกาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น