xs
xsm
sm
md
lg

นิสสันเปิดแผนธุรกิจ6ปี เพิ่มลงทุน-รถใหม่10รุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“นิสสัน” ประกาศแผน “พาวเวอร์ อัพ 2559” หรือแผนธุรกิจระยะกลาง 6 ปี ผลักดันแชร์พุ่งเท่าตัว ด้วยการเปิดตัวรถใหม่กว่า 10 รุ่น ประเดิมกับอีโคคาร์แบบ 4 ประตู เปิดตัวเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ เผยเตรียมทุ่มลงทุนรองรับยอดขายนิสสันในอาเซียนเพิ่ม 3 เท่า เป็น 5 แสนคันต่อปี โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีโครงการผลิตรถต้นทุนต่ำ พร้อมเดินหน้าดึงพันธมิตร “จาโตโค” ลงทุนในไทยกว่า 7.5 พันล้านบาท เพื่อผลิตเกียร์ CVT เป็นครั้งแรก

นายโทรุ ฮาเซกาวา ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด และบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องของนิสสันในภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย จึงได้จัดตั้งบริษัท นิสสัน มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด เป็นสำนักงานใหญ่ของนิสสันในภูมิภาค และประกาศแผนธุรกิจ 6 ปี เพื่อขยายการเติบโตทั่วภูมิภาค และสนับสนุนทิศทางของแผนงานระดับโลก “นิสสัน พาวเวอร์ 88” (Nissan Power 88) ด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด หรือแชร์ขึ้น 8% และผลกำไรที่ยั่งยืนของปฏิบัติการ 8% ภายในปีงบประมาณ 2559

“เพื่อสนับสนุนแผนงานระดับโลกดังกล่าว วันนี้(25ก.ค.)ประเทศไทยได้ประกาศแผนธุรกิจ ภายใต้ชื่อ “พาวเวอร์ อัพ2559” ทั้งการเปิดตัวรถใหม่ในตลาดมากกว่า 10 รุ่น จับมือกับพันธมิตรในการลงทุน ผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนขยายเครือข่ายการขาย โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอีกเท่าตัว หรือประมาณ 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.4% และภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 9% หรือประมาณ 80,000 คัน”

ทั้งนี้ในการเพิ่มผลิตภัณฑ์เพื่อให้ครอบคลุม 90% ของเซกเมนท์ตลาดรถยนต์ในไทย จากปัจจุบันที่ครอบคลุมเพียง 65% จึงจำเป็นต้องเปิดตัวรถใหม่มากกว่า 10 รุ่น ภายในเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2555-2559 ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับนิสสัน โดยจะมีทั้งรถที่มาแทนรุ่นเก่า และรถโมเดลใหม่ที่ไม่เคยทำตลาดมาก่อน พร้อมกันนี้จะขยายจำนวนโชว์รูมเพิ่มขึ้น ภายในปี 2556 จะเพิ่มจำนวนอีก 50 แห่ง รวมเป็น 210 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 160 แห่ง

นายฮาเซกาวาเปิดเผยว่า ตามแผนพาวเวอร์อัพของนิสสัน ยังต้องการเป็นผู้นำอีโคคาร์ ดังนั้นจึงเตรียมเปิดตัวอีโคคาร์แบบ 4 ประตูสู่ตลาด หลังจากประสบความสำเร็จเป็นผู้นำทำตลาด และตัวเลขยอดจำหน่ายอีโคคาร์แบบแฮทช์แบ็ก จากการเปิดตัวรถยนต์นิสสัน มาร์ชมาแล้ว และการเปิดตัวอีโคคาร์แบบ 4 ประตูครั้งนี้ จึงเป็นโมเดลแรกภายใต้โครงการอีโคคาร์อีกครั้ง โดยรถยนต์รุ่นนี้จะเป็นโมเดลที่ 2 ที่ผลิตภายใต้โครงการรถประเภทคอมแพค ที่จำหน่ายทั่วโลกของนิสสันต่อจากประเทศจีน

“อีโคคาร์แบบ 4 ประตู หรือรุ่นซีดานของนิสสัน ได้รับการออกแบบด้วยความมีสไตล์ คุณภาพสูง เป็นเจ้าของได้ง่าย และประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม โดยวางแผนจะเริ่มต้นการผลิตรถยนต์รุ่นนี้ ที่โรงงานนิสสันในประเทศไทย ช่วงเดือนกันยายน และคาดว่าจะเปิดตัวทำตลาดเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดฤกษ์ที่ดีเยี่ยมของแผนธุรกิจในครั้งนี้ และแน่นอนการเปิดตัวรถใหม่มากกว่า 10 รุ่นตามแผน ย่อมต้องมีการลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดจะเป็นเท่าไหร่ จนกว่าการดำเนินงานจะชัดเจน” นายฮาเซกาวากล่าวและว่า

นอกจากประเทศไทยแล้ว อินโดนีเซียเป็นอีกประเทศในแผนธุรกิจระยะกลางใหม่ 6 ปี ที่จะช่วยกันขับเคลื่อนการเติบโตของนิสสันในภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่จะมียอดขายสูงขึ้นอย่างชัดเจน ผ่านการสนับสนุนโครงการรถยนต์ต้นทุนต่ำของรัฐบาลอินโดนีเซีย เหตุนี้นิสสันจึงเตรียมลงทุนผลิตรถต้นทุนต่ำ หรืออีโคคาร์ ที่ประเทศอินโดนีเซียอีกแห่ง

“อีโคคาร์ที่อินโดนีเซียจะแตกต่างจากประเทศไทย และจะไม่ส่งผลกระทบต่อกันแต่อย่างใด ส่วนรายละเอียดยังไม่สามารถบอกได้ จนกว่าทางรัฐบาลอินโดนีเซียจะสรุปหลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขออกมา แต่เชื่อมั่นจะเป็นหลักสำคัญ ในการเพิ่มจำนวนยอดขายทั่วภูมิภาค เช่นเดียวกับอีโคคาร์ในไทย โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 3 เท่า หรือ 500,000 คัน และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 15% จากยอดขายปัจจุบันอยู่ที่ 150,000 คัน และมีส่วนแบ่งทางการตลาด 6%”

นายฮาเซกาว่าเปิดเผยว่า จากเป้าหมายการเติบโตของตลาดในภูมิภาคอาเซียน ทำให้นิสสันจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตในภูมิภาคเป็น 2 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 370,000 คัน เป็น 700,000 คัน โดยนอกจากจะลงทุนเพิ่มในอินโดนีเซีย ในส่วนของประเทศไทยยังได้บรรลุข้อตกลงในการร่วมมือกับมิตซูบิชิ ด้วยการให้โรงงานมิตซูบิชิในประเทศไทยผลิตปิกอัพนิสสัน นาวารา ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555 เป็นต้นไป คาดว่าจะมีปริมาณ 60,000 คันต่อปี ซึ่งตรงนี้จะทำให้โรงงานนิสสันในไทย มีกำลังการผลิตรถรุ่นอื่นๆ เพิ่มอีก 60,000 คัน

ในส่วนของการจัดตั้งงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงการผลิตเครื่องยนต์ภายในประเทศ นิสสันได้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่วิศวกรนิสสัน เทคนิคคอล เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย และประเทศอินโดนีเซียเป็น 3 เท่า จากเดิม 120 คน เป็น 370 คน และนอกจากนี้ยังได้ดึงพันธมิตร บริษัท จาโตโค จำกัด เข้ามาลงทุนในไทยเพื่อสร้างโรงงานผลิตระบบส่งกำลัง CVT เป็นแห่งแรกในเมืองไทย เพื่อป้อนให้กับรถยนต์นิสสันนิสสันทั่วภูมิภาค

นายทาคาฮาชิ ฮาตะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จาโตโค (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จาโตโคได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนผลิตเกียร์ระบบ CVT ด้วยเงินลงทุน 20,000 ล้านเยน หรือประมาณ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,500 ล้านบาท ด้วยทุนจดทะเบียน 4,500 ล้านบาท บนพื้นที่ 104 ไร่ 160,000 ตารางเมตร ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตระนคร โดยจะเริ่มก่อสร้างโรงงานในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะเริ่มเดินสายการผลิตได้กลางปี 2556 ด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 500,000 ชุดต่อปี เพื่อเน้นรองรับความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์ในไทยเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันระบบเกียร์ CVT ของบริษัท มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 48% ของความต้องการทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น