ปีเสือไฟ 2553 ที่ผ่านมา เป็นอะไรที่เกินบรรยายจริงๆ กับตลาดรถยนต์ไทย เพราะแม้จะเจอมรสุมกระหน่ำหนักๆ ตลอดตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่งผ่านพิษเศรษฐกิจตกต่ำไปหมาดๆ เมื่อปีก่อนหน้า ยังมาเจอปัญหาวิกฤตความรุนแรงทางการเมือง เมื่อช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม และส่งท้ายกับเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วมช่วงปลายปี แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยกลับพุ่งทะยานต่อเนื่องตลอดปี ทุบสถิติต่างๆ เป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นยอดการผลิต ส่งออก และตลาดรถในประเทศ ซึ่ง ณ วันนี้ ตัวเลขยอดขายยังไม่สรุปเป็นทางการ แต่คาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 7.8 แสนคัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ตลาดรถในไทย โดยมีตลาดเก๋งเป็นพระเอก จากการเปิดตัวของรถรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเก๋งเล็ก และอีโคคาร์ แน่นอนว่าในปี 2554 หรือปีกระต่ายนี้ เก๋งยังจะร้อนแรงต่อเนื่อง แต่ที่จะต้องจับตากันเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นการหวนกลับมาร้อนแรงของตลาดปิกอัพ และนี่จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ปิกอัพยังจะเป็นตลาดหลักในไทยต่อไปหรือไม่?... ส่วนรถใหม่ในปีกระต่ายจะมีรุ่นไหน และไฮไลต์ของแต่ละตลาดมีอะไรบ้าง? เชิญติดตามอ่านนี้ได้เลย
ตลาดเก๋งยังแรงไม่ตก
ต้องบอกว่าตลาดเก๋งปีเสือไฟร้อนแรงจริงๆ เพราะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ หลายรุ่น โดยเฉพาะกลุ่มเก๋งเล็กไม่ว่าจะเป็นซับคอมแพ็กต์ และอีโคคาร์ โดยถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดรถไทยทำสถิติสูงสุดในปีที่ผ่านมา และส่งผลให้ตลาดเก๋งมีสัดส่วนเทียบเท่ากับปิกอัพ ซึ่งการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ออกมามากในปีที่แล้ว ทำให้ดูเหมือนว่าในปีกระต่ายนี้ ความร้อนแรงของตลาดเก๋งน่าจะลดลง แต่ตรงกันข้ามกลับจะดุเดือดขึ้นไปอีก เพราะรถในโครงการอีโคคาร์เริ่มทยอยออกมา...
เริ่มจากหนึ่งในไฮไลต์เก๋งเล็กของปี 2554 “ฮอนด้า บริโอ” ซึ่งเป็นรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์ของค่ายฮอนด้า และได้เผยโฉมเวอร์ชั่นโปรโตไทป์ หรือรถต้นแบบที่ใกล้เคียงคันขายจริงมากที่สุด ไปในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาไปหมาดๆ โดยจากการเปิดเผยของฮอนด้าเบื้องต้น ฮอนด้า บริโอ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการมีนาคม 2554 นี้ วางเครื่องยนต์ขนาด 1200 ซีซี และมีราคาประมาณ 400,000 บาท
ด้วยชื่อชั้นของเก๋งฮอนด้า และการเปิดตัวอีโคคาร์คันที่สองในไทย ฮอนด้า บริโอ จึงถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของเก๋งเล็กปีกระต่าย และนอกจากนี้ฮอนด้ายังมีอีกสีสันของเก๋งเล็ก เพราะจะมีการส่งซับคอมแพ็กต์ตัวธง “ฮอนด้า แจ๊ซ” เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์แลกหมัดกับคู่แข่ง ซึ่งในญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ ฮอนด้า ฟิต ได้แต่งหน้าทาปากไปแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ฮอนด้ายังมีหมัดเด็ดส่งท้ายปี กับ “ฮอนด้า ซีวิค” โมเดลเชนจ์ ซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นคันต้นแบบของรุ่นคูเป้ ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2011 กันแล้ว และหน้าตาคงจะไม่แตกต่างรุ่นเวอร์ชั่นซีดานนัก และเปิดขายจริงในสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาสสาม ขณะที่ในไทยน่าจะเปิดก่อนงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 ไม่กี่วัน โดยมีให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ขนาด 1800 และ 2000 ซีซีเช่นเดิม
ส่วนอีกไฮไลต์หนึ่งของตลาดเก๋ง เห็นจะเป็นเวอร์ชั่นเก๋งซีดานของอีโคคาร์นิสสัน หลังจากประสบความสำเร็จกับ “นิสสัน มาร์ช” ไปแล้ว โดยกำหนดน่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งปีหลัง ประมาณปลายไตรมาสสาม หรือไม่ก็ก่อนงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 เล็กน้อย ส่วนรายละเอียดนิสสันยังไม่ยอมเปิดเผยแต่อย่างใด จะมีก็เพียงรายงานตามสื่อต่างๆ ที่เชื่อว่า จะเป็นโฉมเดียวกับ “นิสสัน ซันนี่” ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปในประเทศจีน ที่งานกวางโจว มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
เห็นชื่อแล้วอย่าเข้าใจผิดเป็น นิสสัน ซันนี่ เก๋งคอมแพ็กต์ที่เคยทำตลาดในไทย เพราะนี่เป็นเก๋งเล็กที่พัฒนามาจากพื้นฐานของนิสสัน มาร์ช และแน่นอนในเมื่อไทยผลิตมาร์ชจนขายแทบไม่ทัน รถรุ่นนี้ก็ต้องถูกนำมาผลิตภายใต้โครงการอีโคคาร์เช่นเดียวกัน ด้วยขนาดตัวถังใหญ่กว่าซับคอมแพ็กต์ซีดานที่มีขายในไทยเสียอีก เพียงแต่เครื่องยนต์เป็นบล็อก 3 สูบ 1200 ซีซี เหมือนกับ นิสสัน มาร์ช ส่วนชื่อรุ่นที่จะใช้ทำตลาดในไทย ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด
ส่วนเก๋งเล็กอื่นๆ มีเปิดตัวทำตลาดในไทยต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่มีช่องว่างให้เก็บยอดขายได้อยู่ เหตุนี้ค่ายฮุนไดจึงเสริมทัพในไทยครบครัน โดยช่วงปลายปีเตรียมจะนำเข้า “ฮุนได ไอ10” มาทำตลาด หลังจากเลื่อนแผนออกไปจากปีที่ผ่านมา เพราะตัดสินใจรอรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เพื่อให้มีความสดใหม่สามารถแข่งกับชาวบ้านเขาได้ และแว่วว่าฮุนไดในประเทศไทยจะรบตลาดเก๋งขนาดกลางอีกครั้ง เล็งนำเข้า “ฮุนได โซนาต้า” ใหม่มาทำตลาดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ด้วย
เพียงแค่นี้นับว่าทำให้ตลาดเก๋งไทยร้อนแรงแล้ว แต่ยังดุเดือดมากขึ้น เมื่อค่าย “มาสด้า” ที่ได้เดินหน้ารุกหนักตลาดไทย เตรียมเขย่าตลาดเก๋งอีกระลอก ด้วยส่ง “มาสด้า 3” โฉมใหม่(ในไทย) บุกตลาดเสียที หลังจากในญี่ปุ่นได้ขายไปร่วม 2 ปีแล้ว แต่ที่ช้าเนื่องจากได้มีการปรับแผน โดยได้นำมาสด้า 3 ใหม่ กลับมาขึ้นไลน์ประกอบที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์(AAT)ในไทย จากที่โฉมปัจจุบันประกอบอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งขณะนี้ได้ติดตั้งเครื่องจักรและพร้อมขึ้นไลน์ประกอบแล้ว กำหนดจะเปิดตัวทำตลาดได้ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
ฉะนั้นเก๋งคอมแพ็กต์ในปีกระต่ายนี้ จะดุเดือดไม่แพ้เก๋งขนาดเล็กเลย เพราะนอกจาก เชฟโรเลต ครูซ ที่เพิ่งเปิดตัวไป ยังมีคู่แข่งสำคัญ “มาสด้า3” โฉมใหม่มาท้าชนอีก ยังไม่นับ “โตโยต้า อัลติส” ที่เพิ่งปรับโฉมไปเมื่อช่วงไตรมาสสามปีที่แล้ว และตอนนี้กำลังสร้างยอดขายพุ่งแรงอยู่ และยังมี “ฮอนด้า ซีวิค” ที่จะมาป่วนตลาดช่วงท้ายปีอีก
เหตุนี้นี้จึงต้อบกว่า... ตลาดเก๋งแรงไม่ตก!
การกลับมาของปิกอัพ
ความเคลื่อนไหวของตลาดเก๋ง แสดงให้เห็นชัดว่าตลาดรถไทยมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แรงกดทับจึงไปตกอยู่กับตลาดปิกอัพ 1 ตัน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่และสร้างชื่อให้กับประเทศไทย และยิ่งในสถานการณ์ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดปิกอัพถูกตั้งคำถามท้าทายว่า… จะยังเป็นตลาดหลักของไทยต่อไปหรือไม่?
แน่นอนว่าปีกระต่ายนี้ จะเป็นบทพิสูจน์ และชี้ปิกอัพไทยจะเป็นในไทยทิศทางใด? เพราะจะมีการเปิดตัวปิกอัพโมเดลใหม่สู่ตลาดถึง 4 รุ่น และหนึ่งในนั้นถือเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการปิกอัพไทยเลยทีเดียว!
นั่นก็คือปิกอัพ “อีซูซุ ดีแมคซ์” โฉมใหม่ ซึ่งกำหนดเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2554 หรือประมาณไตรมาสสาม ส่วนการแต่งองค์ทรงเครื่อง พร้อมกับชื่อ “อีซูซุ ดีแมคซ์ ซูเปอร์ไททาเนียม” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นกระตุ้นตลาดช่วงสุดท้ายของเจนเนอเรชั่นปัจจุบัน ก่อนที่โมเดลใหม่จะออกมาเขย่าตลาดปิกอัพไทย ที่เงียบเหงาไปนานให้ฟื้นคืนกลับมาในปีนี้
อีซูซุ ดีแมคซ์ โฉมใหม่ ชัดเจนว่าจะแยกขาดจากพันธมิตร “เชฟโรเลต โคโลราโด เกือบทั้งหมด ยกเว้นในส่วนโครงสร้างพื้นฐานตัวถังที่ยังพัฒนาร่วมกันอยู่ ส่วนการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและภายในแยกทำชัดเจน และโดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ต่างฝ่ายต่างใช้เครื่องยนต์ของตัวเอง ซึ่งอีซูซุจะพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่จากบล็อกเดิม และยังคงยืนอยู่กับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลขนาด 2500 และ 3000 ซีซีต่อไป แต่ที่ต้องลุ้นบานแค็บจะเปิดได้หรือไม่? เพราะคู่แข่งเขาทำกันเกือบหมดแล้ว
แน่นอนในเมื่อพันธมิตร(เกือบจะเป็นอดีต) ได้เตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ มีหรือที่ค่ายเจนเนอรัลมอเตอร์ส(GM) จะไม่สร้างสรรค์ “เชฟโรเลต โคโลราโด” โฉมใหม่ออกมา โดยใช้ประเทศบราซิลเป็นฐานในการพัฒนา แต่ไทยจะเป็นฐานการผลิตใหญ่ ซึ่งนอกจากใช้โครงสร้างพื้นฐานตัวถังร่วมกับอีซูซุ ดีแมคซ์ ในส่วนอื่นๆ จีเอ็มได้มีการออกแบบและพัฒนาหมด ฉะนั้นจึงมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความเหมือนกันแน่นอน
แม้แต่เครื่องยนต์ที่คราวนี้ จีเอ็มได้ลงทุนตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลของตนเองในไทย และจะถูกนำมาใส่กับปิกอัพเชฟโรเลต โคโลราโด เป็นโมเดลแรก โดยเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบ 2500 และ 2800 ซีซี ซึ่งจะแตกต่างจากเครื่องยนต์ของอีซูซุ ดีแมคซ์ชัดเจน กำหนดเปิดตัวประมาณช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554
แต่ที่ไม่ต้องรอยลโฉมให้เมื่อย เห็นจะเป็นสองค่ายพันธมิตร “มาสด้า-ฟอร์ด” เพราะได้มีการเผยโฉม “มาสด้า บีที-50” และ “ฟอร์ด เรนเจอร์” โฉมใหม่ไปเรียบร้อย ในงานออสเตรเลีย มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เหลือเพียงกำหนดเวลาเปิดตัวทำตลาดอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้เท่านั้น
ทั้งนี้ฟอร์ดและมาสด้ายังคงมีการพัฒนาปิกอัพใหม่ร่วมกันเช่นเคย ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานตัวถัง และในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ แม้จะไม่มีการเปิดเผยจากทางมาสด้า แต่เป็นที่รับรู้ว่าคราวนี้มาสด้าจะใช้เครื่องยนต์ที่พัฒนาโดยฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ที่มีรหัสเรียกว่า PUMA โดยมีให้เลือกทั้งขนาด 2200 ซีซี 150 แรงม้า และ 3200 ซีซี 200 แรงม้า นอกจากนี้ยังเครื่องยนต์เบนซินดูราทอร์ก 2500 ซีซี 166 แรงม้า ส่วนในไทยจะทำตลาดหลัก กับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2200 ซีซี
สำหรับรูปลักษณ์หน้าตาและการออกแบบภายใน จะเห็นความแตกต่างกันชัดเจน โดยมาสด้า บีที-50 จะออกแบบในสไตล์สปอร์ตปิกอัพ ที่โฉบเฉี่ยวเฉกเช่นรถยนต์นั่ง ขณะที่ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังคงเหนี่ยวแน่นกับคอนเซ็ปต์แกร่ง จึงออกแบบเป็นเหลี่ยมดูดุดันและบึกบึนกว่ามาก
การเปิดตัวของปิกอัพใหม่ไล่ๆ กันถึง 4 โมเดล ทำให้ค่ายที่เหลือย่อมอยู่นิ่งไม่ได้ ดังจะเห็นนิสสัน นาวารา ได้มีการแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยได้มีการนำระบบควบคุมความเร็ว หรือครูซคอนโทรลมาใช้ และในกลางเดือนมกราคมนี้ มิตซูบิชิจะมีการปรับแต่งปิกอัพ “ไทรทัน” ให้ไฉไลกว่า รวมถึงปรับเครื่องยนต์เป็นมาตรฐานยูโร4
ส่วนยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” มีหรือจะยอมให้คู่แข่งตีกินสบายๆ และย่อมต้องมีตีโต้ที่สมน้ำสมเนื้อพอสมควร โดยในช่วงไตรมาสสามของปีนี้ โตโยต้าจะทำการปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับ “โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้” ชนิดสามารถดึงลูกค้าให้หันกลับมามองได้ก็แล้วกัน แม้จะไม่ใช่ปรับโฉมใหม่หมดจนเหมือนกับ 4 ค่ายนั้นก็ตาม
เรียกว่า... ปีกระต่ายสมรภูมิเดือดตลาดปิกอัพกลับมาแล้ว และนี่จะเป็นบทพิสูจน์อนาคตของปิกอัพในไทย!?
เก๋งหรู-รถนำเข้าคึกคัก
แน่นอนนอกจากสองตลาดหลักๆ ที่กล่าวมา ในส่วนของเก๋งหรูหราและรถนำเข้าอื่นๆ นับว่ามีความคึกคักไม่แพ้กัน เพราะเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน แม้โมเดลหลักๆ จะได้มีการเปิดตัวไปแล้ว และโฉมใหม่ก็ยังไม่มีมาในช่วงนี้ จนกว่าจะถึงปีหน้าโน้น
ในฐานะเจ้าตลาดรถหรูค่ายตราดาวสามแฉก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” จึงย่อมไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง หลังจากส่ง “อี-คลาส” โฉมใหม่บุกตลาดเมื่อปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเตรียมดันเก๋งหรูคอมแพ็กต์ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส” ใหม่ ซึ่งเป็นการไมเนอร์เชนจ์ดูลงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะภายในที่ได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพี่มากขึ้น โดยรุ่นนำเข้าสำเร็จรูป(CBU) น่าจะเปิดตัวก่อนในงานบางกอก อินเตอรเนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2010 ปลายเดือนมีนาคมนี้
ส่วนคู่แข่งค่ายใบพัดสีฟ้า “บีเอ็มดับเบิลยู” ช่วงต้นปีน่าจะเป็นการนำเข้า “ซีรี่ส์6” รถสปอร์ตคูเป้และเปิดประทุนมาเก็บเล็กผสมน้อย และคาดว่าช่วงปลายปีจะเป็น “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์3” โฉมใหม่ ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาสสาม และไทยจะนำเข้าแบบซีบียูมากักค่ายรถนำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ตก่อน
ขณะที่ “วอลโว่” กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และนโยบายของวอลโว่ ประเทศไทย ชัดเจนว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับการขึ้นไลน์ประกอบในไทย(CKD) หรือไม่ก็ต้องเป็นรถที่ประกอบในอาเซียน ดังนั้นเมื่อได้เปิดตัว “วอลโว่ เอส60” ใหม่ไปแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงน่าจะได้เห็นเวอร์ชั่นซีเคดี แม้อาจจะเป็นช่วงปลายปีเลยก็ตาม
“ออดี้” ค่อนข้างเงียบไปในช่วงปีที่ผ่านมา ปีนี้น่าจะมีความเคลื่อนไหวบ้างในปีนี้ และรถที่จะถูกนำเข้ามาน่าจะเป็น “ออดี้ เอ8” ที่ในยุโรปได้เปิดตัวไปเป็นปีแล้ว ขณะที่บรรดาผู้นำเข้าอิสระตอนนี้ได้เล็งไปที่ ออดี้ เอ8 ไฮบริด ที่จะเปิดตัวกันแล้ว ส่วนทางด้าน “โฟล์คสวาเกน” ยังไม่ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับประเทศไทย บางกระแสมีข่าวลือจะเข้ามาทำตลาดในปีหน้า พร้อมกับขึ้นไลน์ผลิตรุ่น “โปโล” เพื่อทำตลาด
ด้านค่าย “ปอร์เช่” โดนผู้นำเข้าอิสระถล่มอย่างหนัก สถานการณ์ปีนี้ไม่น่าจะแตกต่าง ยิ่งอัตราเงินบาทยังแข็งค่าอยู่เช่นนี้ แต่ก็เป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่ราคารถจะต่ำลง ซึ่งทิศทางในปีนี้จะเป็นรุ่น “พานาเมร่า ไฮบริด” ฉะนั้นทาง “เอเอเอส” ในฐานะผู้ถือสิทธิ์ในไทย จึงต้องนำเข้ารถรุ่นนี้มาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถูกเกรย์มาร์เก็ตแย่งยอดขายไปก่อน เหมือนกับ ปอร์เช่ คาเยน ไฮบริด
สำหรับค่ายรถจากเกาหลีอีกราย “เกีย” ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มยนตรกิจคอปอเรชั่น เดิมในช่วงต้นปีหน้าจะมีการนำเข้า “เกีย สปอร์ตเทจ” กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้ง แต่ล่าสุดได้มีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ ไม่แน่ใจว่านโยบายจะเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่หากดูการตอบรับของ “เกีย โซล” แล้ว รุ่นสปอร์ตเทจก็น่าจะได้รับการพิจารณาสูงเช่นเดียวกัน
นี่เป็นเพียงบางส่วนของรถเก๋งหรู และรถนำเข้ายี่ห้อต่างๆ นับว่ามีหลากหลายทางเลือกเช่นเดิม ฉะนั้นเศรษฐีกระเป่าหนักทั้งหลาย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ควักกระเป๋าในปีนี้แน่นอน...
ตลาดเก๋งยังแรงไม่ตก
ต้องบอกว่าตลาดเก๋งปีเสือไฟร้อนแรงจริงๆ เพราะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ หลายรุ่น โดยเฉพาะกลุ่มเก๋งเล็กไม่ว่าจะเป็นซับคอมแพ็กต์ และอีโคคาร์ โดยถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดรถไทยทำสถิติสูงสุดในปีที่ผ่านมา และส่งผลให้ตลาดเก๋งมีสัดส่วนเทียบเท่ากับปิกอัพ ซึ่งการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ออกมามากในปีที่แล้ว ทำให้ดูเหมือนว่าในปีกระต่ายนี้ ความร้อนแรงของตลาดเก๋งน่าจะลดลง แต่ตรงกันข้ามกลับจะดุเดือดขึ้นไปอีก เพราะรถในโครงการอีโคคาร์เริ่มทยอยออกมา...
เริ่มจากหนึ่งในไฮไลต์เก๋งเล็กของปี 2554 “ฮอนด้า บริโอ” ซึ่งเป็นรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์ของค่ายฮอนด้า และได้เผยโฉมเวอร์ชั่นโปรโตไทป์ หรือรถต้นแบบที่ใกล้เคียงคันขายจริงมากที่สุด ไปในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาไปหมาดๆ โดยจากการเปิดเผยของฮอนด้าเบื้องต้น ฮอนด้า บริโอ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการมีนาคม 2554 นี้ วางเครื่องยนต์ขนาด 1200 ซีซี และมีราคาประมาณ 400,000 บาท
ด้วยชื่อชั้นของเก๋งฮอนด้า และการเปิดตัวอีโคคาร์คันที่สองในไทย ฮอนด้า บริโอ จึงถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของเก๋งเล็กปีกระต่าย และนอกจากนี้ฮอนด้ายังมีอีกสีสันของเก๋งเล็ก เพราะจะมีการส่งซับคอมแพ็กต์ตัวธง “ฮอนด้า แจ๊ซ” เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์แลกหมัดกับคู่แข่ง ซึ่งในญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ ฮอนด้า ฟิต ได้แต่งหน้าทาปากไปแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ฮอนด้ายังมีหมัดเด็ดส่งท้ายปี กับ “ฮอนด้า ซีวิค” โมเดลเชนจ์ ซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นคันต้นแบบของรุ่นคูเป้ ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2011 กันแล้ว และหน้าตาคงจะไม่แตกต่างรุ่นเวอร์ชั่นซีดานนัก และเปิดขายจริงในสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาสสาม ขณะที่ในไทยน่าจะเปิดก่อนงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 ไม่กี่วัน โดยมีให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ขนาด 1800 และ 2000 ซีซีเช่นเดิม
ส่วนอีกไฮไลต์หนึ่งของตลาดเก๋ง เห็นจะเป็นเวอร์ชั่นเก๋งซีดานของอีโคคาร์นิสสัน หลังจากประสบความสำเร็จกับ “นิสสัน มาร์ช” ไปแล้ว โดยกำหนดน่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งปีหลัง ประมาณปลายไตรมาสสาม หรือไม่ก็ก่อนงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 เล็กน้อย ส่วนรายละเอียดนิสสันยังไม่ยอมเปิดเผยแต่อย่างใด จะมีก็เพียงรายงานตามสื่อต่างๆ ที่เชื่อว่า จะเป็นโฉมเดียวกับ “นิสสัน ซันนี่” ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปในประเทศจีน ที่งานกวางโจว มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
เห็นชื่อแล้วอย่าเข้าใจผิดเป็น นิสสัน ซันนี่ เก๋งคอมแพ็กต์ที่เคยทำตลาดในไทย เพราะนี่เป็นเก๋งเล็กที่พัฒนามาจากพื้นฐานของนิสสัน มาร์ช และแน่นอนในเมื่อไทยผลิตมาร์ชจนขายแทบไม่ทัน รถรุ่นนี้ก็ต้องถูกนำมาผลิตภายใต้โครงการอีโคคาร์เช่นเดียวกัน ด้วยขนาดตัวถังใหญ่กว่าซับคอมแพ็กต์ซีดานที่มีขายในไทยเสียอีก เพียงแต่เครื่องยนต์เป็นบล็อก 3 สูบ 1200 ซีซี เหมือนกับ นิสสัน มาร์ช ส่วนชื่อรุ่นที่จะใช้ทำตลาดในไทย ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด
ส่วนเก๋งเล็กอื่นๆ มีเปิดตัวทำตลาดในไทยต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่มีช่องว่างให้เก็บยอดขายได้อยู่ เหตุนี้ค่ายฮุนไดจึงเสริมทัพในไทยครบครัน โดยช่วงปลายปีเตรียมจะนำเข้า “ฮุนได ไอ10” มาทำตลาด หลังจากเลื่อนแผนออกไปจากปีที่ผ่านมา เพราะตัดสินใจรอรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เพื่อให้มีความสดใหม่สามารถแข่งกับชาวบ้านเขาได้ และแว่วว่าฮุนไดในประเทศไทยจะรบตลาดเก๋งขนาดกลางอีกครั้ง เล็งนำเข้า “ฮุนได โซนาต้า” ใหม่มาทำตลาดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ด้วย
เพียงแค่นี้นับว่าทำให้ตลาดเก๋งไทยร้อนแรงแล้ว แต่ยังดุเดือดมากขึ้น เมื่อค่าย “มาสด้า” ที่ได้เดินหน้ารุกหนักตลาดไทย เตรียมเขย่าตลาดเก๋งอีกระลอก ด้วยส่ง “มาสด้า 3” โฉมใหม่(ในไทย) บุกตลาดเสียที หลังจากในญี่ปุ่นได้ขายไปร่วม 2 ปีแล้ว แต่ที่ช้าเนื่องจากได้มีการปรับแผน โดยได้นำมาสด้า 3 ใหม่ กลับมาขึ้นไลน์ประกอบที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์(AAT)ในไทย จากที่โฉมปัจจุบันประกอบอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งขณะนี้ได้ติดตั้งเครื่องจักรและพร้อมขึ้นไลน์ประกอบแล้ว กำหนดจะเปิดตัวทำตลาดได้ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
ฉะนั้นเก๋งคอมแพ็กต์ในปีกระต่ายนี้ จะดุเดือดไม่แพ้เก๋งขนาดเล็กเลย เพราะนอกจาก เชฟโรเลต ครูซ ที่เพิ่งเปิดตัวไป ยังมีคู่แข่งสำคัญ “มาสด้า3” โฉมใหม่มาท้าชนอีก ยังไม่นับ “โตโยต้า อัลติส” ที่เพิ่งปรับโฉมไปเมื่อช่วงไตรมาสสามปีที่แล้ว และตอนนี้กำลังสร้างยอดขายพุ่งแรงอยู่ และยังมี “ฮอนด้า ซีวิค” ที่จะมาป่วนตลาดช่วงท้ายปีอีก
เหตุนี้นี้จึงต้อบกว่า... ตลาดเก๋งแรงไม่ตก!
การกลับมาของปิกอัพ
ความเคลื่อนไหวของตลาดเก๋ง แสดงให้เห็นชัดว่าตลาดรถไทยมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แรงกดทับจึงไปตกอยู่กับตลาดปิกอัพ 1 ตัน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่และสร้างชื่อให้กับประเทศไทย และยิ่งในสถานการณ์ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดปิกอัพถูกตั้งคำถามท้าทายว่า… จะยังเป็นตลาดหลักของไทยต่อไปหรือไม่?
แน่นอนว่าปีกระต่ายนี้ จะเป็นบทพิสูจน์ และชี้ปิกอัพไทยจะเป็นในไทยทิศทางใด? เพราะจะมีการเปิดตัวปิกอัพโมเดลใหม่สู่ตลาดถึง 4 รุ่น และหนึ่งในนั้นถือเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการปิกอัพไทยเลยทีเดียว!
นั่นก็คือปิกอัพ “อีซูซุ ดีแมคซ์” โฉมใหม่ ซึ่งกำหนดเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2554 หรือประมาณไตรมาสสาม ส่วนการแต่งองค์ทรงเครื่อง พร้อมกับชื่อ “อีซูซุ ดีแมคซ์ ซูเปอร์ไททาเนียม” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นกระตุ้นตลาดช่วงสุดท้ายของเจนเนอเรชั่นปัจจุบัน ก่อนที่โมเดลใหม่จะออกมาเขย่าตลาดปิกอัพไทย ที่เงียบเหงาไปนานให้ฟื้นคืนกลับมาในปีนี้
อีซูซุ ดีแมคซ์ โฉมใหม่ ชัดเจนว่าจะแยกขาดจากพันธมิตร “เชฟโรเลต โคโลราโด เกือบทั้งหมด ยกเว้นในส่วนโครงสร้างพื้นฐานตัวถังที่ยังพัฒนาร่วมกันอยู่ ส่วนการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและภายในแยกทำชัดเจน และโดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ต่างฝ่ายต่างใช้เครื่องยนต์ของตัวเอง ซึ่งอีซูซุจะพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่จากบล็อกเดิม และยังคงยืนอยู่กับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลขนาด 2500 และ 3000 ซีซีต่อไป แต่ที่ต้องลุ้นบานแค็บจะเปิดได้หรือไม่? เพราะคู่แข่งเขาทำกันเกือบหมดแล้ว
แน่นอนในเมื่อพันธมิตร(เกือบจะเป็นอดีต) ได้เตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ มีหรือที่ค่ายเจนเนอรัลมอเตอร์ส(GM) จะไม่สร้างสรรค์ “เชฟโรเลต โคโลราโด” โฉมใหม่ออกมา โดยใช้ประเทศบราซิลเป็นฐานในการพัฒนา แต่ไทยจะเป็นฐานการผลิตใหญ่ ซึ่งนอกจากใช้โครงสร้างพื้นฐานตัวถังร่วมกับอีซูซุ ดีแมคซ์ ในส่วนอื่นๆ จีเอ็มได้มีการออกแบบและพัฒนาหมด ฉะนั้นจึงมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความเหมือนกันแน่นอน
แม้แต่เครื่องยนต์ที่คราวนี้ จีเอ็มได้ลงทุนตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลของตนเองในไทย และจะถูกนำมาใส่กับปิกอัพเชฟโรเลต โคโลราโด เป็นโมเดลแรก โดยเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบ 2500 และ 2800 ซีซี ซึ่งจะแตกต่างจากเครื่องยนต์ของอีซูซุ ดีแมคซ์ชัดเจน กำหนดเปิดตัวประมาณช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554
แต่ที่ไม่ต้องรอยลโฉมให้เมื่อย เห็นจะเป็นสองค่ายพันธมิตร “มาสด้า-ฟอร์ด” เพราะได้มีการเผยโฉม “มาสด้า บีที-50” และ “ฟอร์ด เรนเจอร์” โฉมใหม่ไปเรียบร้อย ในงานออสเตรเลีย มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เหลือเพียงกำหนดเวลาเปิดตัวทำตลาดอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้เท่านั้น
ทั้งนี้ฟอร์ดและมาสด้ายังคงมีการพัฒนาปิกอัพใหม่ร่วมกันเช่นเคย ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานตัวถัง และในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ แม้จะไม่มีการเปิดเผยจากทางมาสด้า แต่เป็นที่รับรู้ว่าคราวนี้มาสด้าจะใช้เครื่องยนต์ที่พัฒนาโดยฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ที่มีรหัสเรียกว่า PUMA โดยมีให้เลือกทั้งขนาด 2200 ซีซี 150 แรงม้า และ 3200 ซีซี 200 แรงม้า นอกจากนี้ยังเครื่องยนต์เบนซินดูราทอร์ก 2500 ซีซี 166 แรงม้า ส่วนในไทยจะทำตลาดหลัก กับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2200 ซีซี
สำหรับรูปลักษณ์หน้าตาและการออกแบบภายใน จะเห็นความแตกต่างกันชัดเจน โดยมาสด้า บีที-50 จะออกแบบในสไตล์สปอร์ตปิกอัพ ที่โฉบเฉี่ยวเฉกเช่นรถยนต์นั่ง ขณะที่ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังคงเหนี่ยวแน่นกับคอนเซ็ปต์แกร่ง จึงออกแบบเป็นเหลี่ยมดูดุดันและบึกบึนกว่ามาก
การเปิดตัวของปิกอัพใหม่ไล่ๆ กันถึง 4 โมเดล ทำให้ค่ายที่เหลือย่อมอยู่นิ่งไม่ได้ ดังจะเห็นนิสสัน นาวารา ได้มีการแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยได้มีการนำระบบควบคุมความเร็ว หรือครูซคอนโทรลมาใช้ และในกลางเดือนมกราคมนี้ มิตซูบิชิจะมีการปรับแต่งปิกอัพ “ไทรทัน” ให้ไฉไลกว่า รวมถึงปรับเครื่องยนต์เป็นมาตรฐานยูโร4
ส่วนยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” มีหรือจะยอมให้คู่แข่งตีกินสบายๆ และย่อมต้องมีตีโต้ที่สมน้ำสมเนื้อพอสมควร โดยในช่วงไตรมาสสามของปีนี้ โตโยต้าจะทำการปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับ “โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้” ชนิดสามารถดึงลูกค้าให้หันกลับมามองได้ก็แล้วกัน แม้จะไม่ใช่ปรับโฉมใหม่หมดจนเหมือนกับ 4 ค่ายนั้นก็ตาม
เรียกว่า... ปีกระต่ายสมรภูมิเดือดตลาดปิกอัพกลับมาแล้ว และนี่จะเป็นบทพิสูจน์อนาคตของปิกอัพในไทย!?
เก๋งหรู-รถนำเข้าคึกคัก
แน่นอนนอกจากสองตลาดหลักๆ ที่กล่าวมา ในส่วนของเก๋งหรูหราและรถนำเข้าอื่นๆ นับว่ามีความคึกคักไม่แพ้กัน เพราะเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน แม้โมเดลหลักๆ จะได้มีการเปิดตัวไปแล้ว และโฉมใหม่ก็ยังไม่มีมาในช่วงนี้ จนกว่าจะถึงปีหน้าโน้น
ในฐานะเจ้าตลาดรถหรูค่ายตราดาวสามแฉก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” จึงย่อมไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง หลังจากส่ง “อี-คลาส” โฉมใหม่บุกตลาดเมื่อปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเตรียมดันเก๋งหรูคอมแพ็กต์ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส” ใหม่ ซึ่งเป็นการไมเนอร์เชนจ์ดูลงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะภายในที่ได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพี่มากขึ้น โดยรุ่นนำเข้าสำเร็จรูป(CBU) น่าจะเปิดตัวก่อนในงานบางกอก อินเตอรเนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2010 ปลายเดือนมีนาคมนี้
ส่วนคู่แข่งค่ายใบพัดสีฟ้า “บีเอ็มดับเบิลยู” ช่วงต้นปีน่าจะเป็นการนำเข้า “ซีรี่ส์6” รถสปอร์ตคูเป้และเปิดประทุนมาเก็บเล็กผสมน้อย และคาดว่าช่วงปลายปีจะเป็น “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์3” โฉมใหม่ ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาสสาม และไทยจะนำเข้าแบบซีบียูมากักค่ายรถนำเข้าอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ตก่อน
ขณะที่ “วอลโว่” กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และนโยบายของวอลโว่ ประเทศไทย ชัดเจนว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับการขึ้นไลน์ประกอบในไทย(CKD) หรือไม่ก็ต้องเป็นรถที่ประกอบในอาเซียน ดังนั้นเมื่อได้เปิดตัว “วอลโว่ เอส60” ใหม่ไปแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงน่าจะได้เห็นเวอร์ชั่นซีเคดี แม้อาจจะเป็นช่วงปลายปีเลยก็ตาม
“ออดี้” ค่อนข้างเงียบไปในช่วงปีที่ผ่านมา ปีนี้น่าจะมีความเคลื่อนไหวบ้างในปีนี้ และรถที่จะถูกนำเข้ามาน่าจะเป็น “ออดี้ เอ8” ที่ในยุโรปได้เปิดตัวไปเป็นปีแล้ว ขณะที่บรรดาผู้นำเข้าอิสระตอนนี้ได้เล็งไปที่ ออดี้ เอ8 ไฮบริด ที่จะเปิดตัวกันแล้ว ส่วนทางด้าน “โฟล์คสวาเกน” ยังไม่ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับประเทศไทย บางกระแสมีข่าวลือจะเข้ามาทำตลาดในปีหน้า พร้อมกับขึ้นไลน์ผลิตรุ่น “โปโล” เพื่อทำตลาด
ด้านค่าย “ปอร์เช่” โดนผู้นำเข้าอิสระถล่มอย่างหนัก สถานการณ์ปีนี้ไม่น่าจะแตกต่าง ยิ่งอัตราเงินบาทยังแข็งค่าอยู่เช่นนี้ แต่ก็เป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่ราคารถจะต่ำลง ซึ่งทิศทางในปีนี้จะเป็นรุ่น “พานาเมร่า ไฮบริด” ฉะนั้นทาง “เอเอเอส” ในฐานะผู้ถือสิทธิ์ในไทย จึงต้องนำเข้ารถรุ่นนี้มาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถูกเกรย์มาร์เก็ตแย่งยอดขายไปก่อน เหมือนกับ ปอร์เช่ คาเยน ไฮบริด
สำหรับค่ายรถจากเกาหลีอีกราย “เกีย” ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มยนตรกิจคอปอเรชั่น เดิมในช่วงต้นปีหน้าจะมีการนำเข้า “เกีย สปอร์ตเทจ” กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้ง แต่ล่าสุดได้มีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ ไม่แน่ใจว่านโยบายจะเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่หากดูการตอบรับของ “เกีย โซล” แล้ว รุ่นสปอร์ตเทจก็น่าจะได้รับการพิจารณาสูงเช่นเดียวกัน
นี่เป็นเพียงบางส่วนของรถเก๋งหรู และรถนำเข้ายี่ห้อต่างๆ นับว่ามีหลากหลายทางเลือกเช่นเดิม ฉะนั้นเศรษฐีกระเป่าหนักทั้งหลาย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ควักกระเป๋าในปีนี้แน่นอน...