ข่าวในประเทศ - “ฮาเซกาวา” นายใหญ่ค่าย “นิสสัน” ประกาศบูม อีโคคาร์ หลังเป็นเจ้าแรกที่ทำตลาด พร้อมเปิดตัวเดือนมีนาคมนี้ โดยวางตำแหน่งตลาดใหม่ แต่โอกาสที่จะไปแย่งชิงลูกค้าตลาดเก๋งซับคอมแพ็กต์สูงเช่นกัน เหตุปัจจุบันไม่มีรถในเซกเมนท์นี้ให้เลือก ขณะที่ราคาและอัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่า ส่วนความสะดวกสบาย และห้องโดยสารไม่ด้อยกว่าแต่อย่างใด ทำให้มั่นใจจะประสบความสำเร็จ ช่วยผลักดันให้นิสสันปีนี้มีส่วนแบ่งพุ่งเป็น 7.5% ขยับใกล้เข้าสู่เป้าหมายแชร์ 10% ในปี 2555 มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเดินหน้าหาทางปิดจุดบอดเก๋งคอมแพ็กต์ เมื่อรุ่น “ทีด้า” ไม่สามารถตอบสนองได้ เล็งหารถรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด โดยเฉพาะในเก๋งรุ่นซีดาน และ “นิสสัน บลูเบิร์ด ซีลฟี” เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือก ด้านปิกอัพคาดตลาดจะไม่เติบโตไปมากกว่านี้ ภาพรวมยอดขายทุกยี่ห้อน่าจะอยู่ที่ปีละกว่า 3 แสนคัน ถึงอย่างนั้นยังยืนยันไม่กระทบต่อการเป็นฐานผลิตปิกอัพของนิสสันในไทย เหตุยังมีตลาดส่งออกรองรับเป็นหลัก

ฟิตเปรี๊ยะ! รีดไขมัน พร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าแบบติดเทอร์โบ สำหรับค่ายนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ในยุคของ “โทรุ ฮาเซกาวา” เพราะหลังเข้ามารับตำแหน่งกรรมผู้จัดการอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ก็ประกาศก้องทันทีว่า ภายใน 4 ปี ส่วนแบ่งการตลาดของนิสสันในไทยจะต้องเพิ่มจาก 5% เป็น 10% ให้ได้ เหตุนี้หลังผ่านไป 1 ปี จึงได้เห็นนิสสันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งโครงสร้างองค์กรและแนวทางบริหารจัดการ ขณะเดียวกันโปรดักต์แห่งความหวังอย่าง “อีโคคาร์” ก็เตรียมเปิดตัวกลางเดือนมีนาคมนี้แล้ว ดังนั้น “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” จึงขอเช็คความพร้อมจากฮาเซกาวาโดยตรง...
“เราทำงานกันอย่างหนักสำหรับโปรเจกต์อีโคคาร์ แน่นอนว่าได้มีการเตรียมพร้อม ก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งที่นี่เสียอีก มีการประชุมกันทุกวัน กำหนดรูปแบบความพร้อมในการทำตลาด ดังนั้นหลังการเปิดตัวช่วงเดือนมีนาคมนี้ ผมมั่นใจว่าจะได้การตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี” ฮาเซกาวากล่าว
สำหรับอีโคคาร์ของนิสสัน ยังไม่มีรายงานถึงชื่อในการทำตลาดอย่างเป็นทางการ นอกจากกระแสข่าวตามสื่อต่างๆ ว่าจะใช้ชื่อรุ่น “มาร์ช” เช่นเดียวกับรุ่นที่ส่งออกไปต่างประเทศ พร้อมกับรายละเอียดทางเทคนิคที่มีหลุดรอดออกมาว่า จะเป็นรถที่ใช้พื้นฐานใหม่ “วี แพลตฟอร์ม” พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 87 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติแบบ CVT

ส่วนสนนราคาของอีโคคาร์ ซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายได้ขึ้นป้ายรับจอง และระบุราคาเริ่มต้นที่ 3xx,xxxx บาทนั้น ฮาเซกาวาบอกว่าอยู่นอกเหนือโปรแกรมที่นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทยวางไว้ แต่สิ่งที่บอกได้เป็นราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคหาซื้อมาเป็นเจ้าของได้ง่าย ที่สำคัญอีโคคาร์ยังเป็นรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปล่อยมลพิษต่ำผ่านมาตรฐานไอเสีย ยูโร4 อัตราการบริโภคน้ำมันระดับ 20 กิโลเมตรต่อลิตร และภายในกว้างขวางอเนกประสงค์
“การที่อีโคคาร์ทำราคาได้น่าสนใจ เพราะได้รับการสนับสนุนด้านภาษีจากรัฐบาล โดยระดับการทำตลาดจะเป็นเซกเม้นท์ใหม่ อยู่ต่ำกว่าเก๋งซับคอมแพกต์ กลุ่มลูกค้าอายุกว้างตั้งแต่ 20 – 40 ปี ดังนั้นอีโคคาร์อาจจะเป็นรถคันที่สองของบ้าน ต่อจากรถปิกอัพหรือเก๋งขนาดใหญ่กว่า แต่เมื่อยังไม่มีรถประเภทนี้ในตลาด ย่อมทำให้อีโคคาร์ของนิสสันมีกลุ่มลูกค้าเดียวกันกับเก๋งซับคอมแพ็กต์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า ยาริส/วีออส ฮอนด้า ซิตี้/แจ๊ซ หรือมาสด้า 2 แต่จุดเด่นของอีคคาร์นิสสันอยู่ที่ราคาต่ำกว่า มีขนาดห้องโดยสารที่ใกล้เคียงกัน และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ประหยัดกว่า”
ต่อข้อถามที่ว่าการทำตลาดอีโคคาร์เป็นเจ้าแรกมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ประเด็นนี้ฮาเซกาวาบอกว่า ยังมองไม่เห็นข้อเสีย เพราะการเป็นเจ้าแรกที่บุกเบิกตลาดจะทำให้นิสสันมีโอกาสเป็นผู้นำ และต่อไปถ้าลูกค้าคิดซื้ออีโคคาร์จะต้องนึกถึงนิสสันเป็นเจ้าแรก ที่สำคัญความต้องการของตลาดรถยนต์ขนาดเล็กถือว่ามีมากขึ้นเรื่อยๆจากทั้งในและต่างประเทศ(เบื้องต้นอีโคคาร์เตรียมส่งออกมากกว่า 60% จากจำนวนที่ผลิตในประเทศไทย)
“ปัจจุบันลูกค้าชาวไทยอาจไม่คิดว่า นิสสันเป็นแบรนด์แข็งแกร่งนัก แต่หลังการเปิดตัวอีโคคาร์ ภาพลักษณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนไป เราให้ความสำคัญกับโปรเจกต์นี้มาก และโดยส่วนตัวที่ผมทำงานกับนิสสันมาร่วม 30 ปี ผมไม่เคยมั่นใจอะไรขนาดนี้และเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ อีโคคาร์ต้องได้รับการตอบรับที่ดีมากแน่ๆ”

...ชัดเจนถึงความพร้อมและความมั่นใจของฮาเซกาวาที่มีต่ออีโคคาร์ ขณะเดียวกันการทำตลาดให้กับโปรดักต์เดิมที่มีอยู่ รวมถึงแผนโปรดักต์ใหม่ๆ ยังเตรียมรองรับไว้อย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน
เริ่มจากเก๋งที่สร้างความปวดหัวกับฝ่ายการตลาด และความสับสนกับผู้บริโภคอย่าง “ทีด้า” ที่ตำแหน่งสินค้าไม่ชัดว่าจะอยู่ระดับซับคอมแพกต์ หรือ คอมแพกต์ ทำให้ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ ยอดขายไม่พุ่งตามหวัง หนำซ้ำยังต้องปรับการสื่อสารการตลาดเรื่อยมา
“ทีด้าเป็นโปรดักต์ดี แต่อาจมีความผิดพลาดในการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งหลังจากผมเข้ามารับงานที่ประเทศไทยได้ศึกษาตลาดอย่างจริงจัง วางกลยุทธ์ ปรับตำแหน่งสินค้าให้ชัดเจน พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ส่งผลให้ทีด้าได้การยอมรับมากขึ้น ทั้งนี้ในตัวถังแฮทซ์แบ็กเรายังยืนยันว่าอยู่ในระดับคอมแพกต์ เพราะในตลาดไทยยังไม่มีรถแบบนี้มาก ส่วนซีดานนั้นอาจจะต้องลงมาสู้กับพวกซับคอมแพกต์”
จากคำพูดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นิสสันยังไม่มีสินค้าที่จะทำตลาดในกลุ่มคอมแพ็กต์ซีดานโดยตรง ที่จะสามารถแข่งกับ โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส หรือฮอนด้า ซีวิค ซึ่งเมื่อถามว่าอนาคตจะมีการนำรถรุ่นที่เป็นคอมแพกต์คาร์ หรือกลุ่มซี-เซกเมนต์ มาปิดจุดอ่อนตลาดระหว่างรุ่นทีด้ากับ นิสสัน เทียน่า ที่เป็นตลาดเก๋งขนาดกลาง และในญี่ปุ่นนิสสันก็มีรุ่น “บลูเบิร์ด ซีลฟี” ที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้นโอกาสที่ มาทำตลาดในไทยหรือไม่?
เรื่องนี้ฮาเซกาวาเปิดเผยว่า… “มีความเป็นไปได้เช่นกัน ซึ่งรถในกลุ่มคอมแพกต์ถือเป็นเซกเมนท์สำคัญ ดังนั้นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบ ส่วนกรอบระยะเวลาในการทำตลาดนั้น ยังไม่สามารถบอกได้”

นอกจากนี้ในส่วนของปิกอัพ ฮาเซกาวายังไม่ทิ้งความสำคัญและย้ำว่า ตลาดปิกอัพเป็นเซกเมนท์ใหญ่ และมีเทรนด์เปลี่ยนไปตลอดเวลา เพราะถ้าไม่นับกลุ่มรถแบบตอนเดียว ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์จริงๆแล้ว เมื่อก่อนตลาดนิยมตัวถังคิงส์แค็บ(ตอนครึ่ง)เกียร์ธรรมดา แต่ปัจจุบันหันมานิยมรถแบบดับเบิลแค็บเกียร์อัตโนมัติ รวมถึงรถประเภทขับสองยกสูงมากขึ้น ซึ่งเราพยายามปรับให้ตัวให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
“แม้เทรนด์ของตลาดจะมุ่งไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่สำหรับเมืองไทยยังมีวัฒนธรรมการใช้ปิกอัพอยู่โดยเฉพาะต่างจังหวัด ในส่วนของฟรอนเทียร์ นาวาราเอง เราไม่ได้ลดความสำคัญลงไป โดยปีนี้จะมีการตลาดหลายรูปแบบ รุกกิจกรรมที่เข้าถึงลูกค้าโดยตรง พร้อมโปรโมชันพิเศษ แต่ถ้าถามว่าโปรดักต์จะมีการปรับโฉม(ไมเนอร์เชนจ์)หรือไม่ ตนเองไม่สามารถเปิดเผยได้”
อย่างไรก็ตามด้วยเทรนด์ตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาจทำให้ยอดขายปิกอัพโดยรวมทรงตัว หรือไม่ตก ไม่โตไปจากนี้ ยอดขายน่าจะอยู่ระดับ 300,000 คันต่อปี หรือครองส่วนแบ่งในตลาดรวม 40%-50% ลดลงจากเดิมที่เคยสูงกว่า 60%
“ปิกอัพเป็นตัวที่สร้างรายได้หลักให้บริษัท โดยเราแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการลงทุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตปิกอัพ 1 ตัน และแม้สภาพตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าเรายังมีตลาดส่งออกที่สำคัญไม่แพ้กัน”

...นั่นเป็นทิศทางโปรดักต์ของนิสสัน ซึ่งจริงๆแล้วการทำตลาดรถรุ่นใดๆจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าขาดทีมงานหรือหลังบ้านที่เข้มแข็ง โดยท่านประธานฮาเซกาวาไม่ได้ละเลยประเด็นนี้เช่นกัน
“เรากำหนดวิสัยทัศน์องค์กรว่า ภายในปี 2555 จะต้องมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 10% ดังนั้นพนักงานทุกคนจึงรับทราบเป้าหมาย และรู้ว่าต้องเดินไปทิศทางไหน”ฮาเซกาวากล่าว
ในปีที่ผ่านมา ฮาเซกาวาบอกว่าได้ดำเนินการหลายอย่าง โดยเฉพาะการประสานงานในองค์กรที่ทุกวันนี้ทำงานร่วมกันเป็นทีมเวิร์คมากขึ้น หลังจากเมื่อก่อนฝ่ายผลิต,ขาย,การตลาด ไปคนละทาง โดยไม่คำนึงว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร ขณะเดียวกันต้องวางระบบเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายให้ทำงานประสานกันด้วย
ส่วนเรื่องทรัพยากรบุคลลต้องยอมรับว่า นิสสันเป็นแบรนด์เก่าแก่ ทำตลาดในประเทศไทยมานาน มีวัฒธรรมองค์กรที่ฝังรากลึก พนักงานบางคนอยู่มานานและมีคุณค่ากับบริษัท แต่บางส่วนก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ยาก ดังนั้นต้องปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ยังเน้นเรื่องการผลักดันคนท้องถิ่น ให้มีบทบาทในองค์กรมากขึ้น เห็นได้จากการเปลี่ยนผู้บริหารในส่วนการขายและการตลาดมาเป็นคนไทย ซึ่งเป็นนโยบายที่ชัดเจนของบริษัท

ในส่วนของจุดที่ต้องแก้ไขเป็นการด่วน ฮาเซกาวายังคงเห็นเป็นเรื่องปรับปรุงบริการหลังการขาย และพยายามพัฒนาโปรแกรมต่างๆเพื่อความพอใจสูงสุดของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ราคาอะไหล่ที่แข่งขันได้ รวมถึงทักษะของช่างเทคนิค พนักงานขาย และแผนงานเรื่องลูกค้าสัมพันธ์ ต้องพัฒนาให้ดีกว่านี้
หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเป็นตามแผน เป้าหมายที่มีส่วนแบ่งการตลาด 10% ในปี 2555 คงไม่ยากนัก แต่สำหรับในปี 2553 นี้ ฮาเซกาวามีความหวังว่า จะสามารถทำยอดขายประจำปีงบประมาณ (เมษายน 2553 - มีนาคม 2554) ไว้ไม่ต่ำกว่า 45,000 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 7.5% ในจำนวนนี้แบ่งเป็นปิกอัพ 20,000 คัน และอีก 25,000 คันเป็นรถยนต์นั่ง โดยมีอีโคคาร์เป็นตัวหลักในการผลักดันยอดขาย
คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เป้าหมายดังกล่าวก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า... นิสสันคาดหวังกับอีโคคาร์แค่ไหน?
ฟิตเปรี๊ยะ! รีดไขมัน พร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าแบบติดเทอร์โบ สำหรับค่ายนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ในยุคของ “โทรุ ฮาเซกาวา” เพราะหลังเข้ามารับตำแหน่งกรรมผู้จัดการอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ก็ประกาศก้องทันทีว่า ภายใน 4 ปี ส่วนแบ่งการตลาดของนิสสันในไทยจะต้องเพิ่มจาก 5% เป็น 10% ให้ได้ เหตุนี้หลังผ่านไป 1 ปี จึงได้เห็นนิสสันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งโครงสร้างองค์กรและแนวทางบริหารจัดการ ขณะเดียวกันโปรดักต์แห่งความหวังอย่าง “อีโคคาร์” ก็เตรียมเปิดตัวกลางเดือนมีนาคมนี้แล้ว ดังนั้น “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” จึงขอเช็คความพร้อมจากฮาเซกาวาโดยตรง...
“เราทำงานกันอย่างหนักสำหรับโปรเจกต์อีโคคาร์ แน่นอนว่าได้มีการเตรียมพร้อม ก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งที่นี่เสียอีก มีการประชุมกันทุกวัน กำหนดรูปแบบความพร้อมในการทำตลาด ดังนั้นหลังการเปิดตัวช่วงเดือนมีนาคมนี้ ผมมั่นใจว่าจะได้การตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี” ฮาเซกาวากล่าว
สำหรับอีโคคาร์ของนิสสัน ยังไม่มีรายงานถึงชื่อในการทำตลาดอย่างเป็นทางการ นอกจากกระแสข่าวตามสื่อต่างๆ ว่าจะใช้ชื่อรุ่น “มาร์ช” เช่นเดียวกับรุ่นที่ส่งออกไปต่างประเทศ พร้อมกับรายละเอียดทางเทคนิคที่มีหลุดรอดออกมาว่า จะเป็นรถที่ใช้พื้นฐานใหม่ “วี แพลตฟอร์ม” พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 87 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติแบบ CVT
ส่วนสนนราคาของอีโคคาร์ ซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายได้ขึ้นป้ายรับจอง และระบุราคาเริ่มต้นที่ 3xx,xxxx บาทนั้น ฮาเซกาวาบอกว่าอยู่นอกเหนือโปรแกรมที่นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทยวางไว้ แต่สิ่งที่บอกได้เป็นราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคหาซื้อมาเป็นเจ้าของได้ง่าย ที่สำคัญอีโคคาร์ยังเป็นรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปล่อยมลพิษต่ำผ่านมาตรฐานไอเสีย ยูโร4 อัตราการบริโภคน้ำมันระดับ 20 กิโลเมตรต่อลิตร และภายในกว้างขวางอเนกประสงค์
“การที่อีโคคาร์ทำราคาได้น่าสนใจ เพราะได้รับการสนับสนุนด้านภาษีจากรัฐบาล โดยระดับการทำตลาดจะเป็นเซกเม้นท์ใหม่ อยู่ต่ำกว่าเก๋งซับคอมแพกต์ กลุ่มลูกค้าอายุกว้างตั้งแต่ 20 – 40 ปี ดังนั้นอีโคคาร์อาจจะเป็นรถคันที่สองของบ้าน ต่อจากรถปิกอัพหรือเก๋งขนาดใหญ่กว่า แต่เมื่อยังไม่มีรถประเภทนี้ในตลาด ย่อมทำให้อีโคคาร์ของนิสสันมีกลุ่มลูกค้าเดียวกันกับเก๋งซับคอมแพ็กต์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า ยาริส/วีออส ฮอนด้า ซิตี้/แจ๊ซ หรือมาสด้า 2 แต่จุดเด่นของอีคคาร์นิสสันอยู่ที่ราคาต่ำกว่า มีขนาดห้องโดยสารที่ใกล้เคียงกัน และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ประหยัดกว่า”
ต่อข้อถามที่ว่าการทำตลาดอีโคคาร์เป็นเจ้าแรกมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ประเด็นนี้ฮาเซกาวาบอกว่า ยังมองไม่เห็นข้อเสีย เพราะการเป็นเจ้าแรกที่บุกเบิกตลาดจะทำให้นิสสันมีโอกาสเป็นผู้นำ และต่อไปถ้าลูกค้าคิดซื้ออีโคคาร์จะต้องนึกถึงนิสสันเป็นเจ้าแรก ที่สำคัญความต้องการของตลาดรถยนต์ขนาดเล็กถือว่ามีมากขึ้นเรื่อยๆจากทั้งในและต่างประเทศ(เบื้องต้นอีโคคาร์เตรียมส่งออกมากกว่า 60% จากจำนวนที่ผลิตในประเทศไทย)
“ปัจจุบันลูกค้าชาวไทยอาจไม่คิดว่า นิสสันเป็นแบรนด์แข็งแกร่งนัก แต่หลังการเปิดตัวอีโคคาร์ ภาพลักษณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนไป เราให้ความสำคัญกับโปรเจกต์นี้มาก และโดยส่วนตัวที่ผมทำงานกับนิสสันมาร่วม 30 ปี ผมไม่เคยมั่นใจอะไรขนาดนี้และเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ อีโคคาร์ต้องได้รับการตอบรับที่ดีมากแน่ๆ”
...ชัดเจนถึงความพร้อมและความมั่นใจของฮาเซกาวาที่มีต่ออีโคคาร์ ขณะเดียวกันการทำตลาดให้กับโปรดักต์เดิมที่มีอยู่ รวมถึงแผนโปรดักต์ใหม่ๆ ยังเตรียมรองรับไว้อย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน
เริ่มจากเก๋งที่สร้างความปวดหัวกับฝ่ายการตลาด และความสับสนกับผู้บริโภคอย่าง “ทีด้า” ที่ตำแหน่งสินค้าไม่ชัดว่าจะอยู่ระดับซับคอมแพกต์ หรือ คอมแพกต์ ทำให้ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ ยอดขายไม่พุ่งตามหวัง หนำซ้ำยังต้องปรับการสื่อสารการตลาดเรื่อยมา
“ทีด้าเป็นโปรดักต์ดี แต่อาจมีความผิดพลาดในการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งหลังจากผมเข้ามารับงานที่ประเทศไทยได้ศึกษาตลาดอย่างจริงจัง วางกลยุทธ์ ปรับตำแหน่งสินค้าให้ชัดเจน พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ส่งผลให้ทีด้าได้การยอมรับมากขึ้น ทั้งนี้ในตัวถังแฮทซ์แบ็กเรายังยืนยันว่าอยู่ในระดับคอมแพกต์ เพราะในตลาดไทยยังไม่มีรถแบบนี้มาก ส่วนซีดานนั้นอาจจะต้องลงมาสู้กับพวกซับคอมแพกต์”
จากคำพูดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นิสสันยังไม่มีสินค้าที่จะทำตลาดในกลุ่มคอมแพ็กต์ซีดานโดยตรง ที่จะสามารถแข่งกับ โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส หรือฮอนด้า ซีวิค ซึ่งเมื่อถามว่าอนาคตจะมีการนำรถรุ่นที่เป็นคอมแพกต์คาร์ หรือกลุ่มซี-เซกเมนต์ มาปิดจุดอ่อนตลาดระหว่างรุ่นทีด้ากับ นิสสัน เทียน่า ที่เป็นตลาดเก๋งขนาดกลาง และในญี่ปุ่นนิสสันก็มีรุ่น “บลูเบิร์ด ซีลฟี” ที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้นโอกาสที่ มาทำตลาดในไทยหรือไม่?
เรื่องนี้ฮาเซกาวาเปิดเผยว่า… “มีความเป็นไปได้เช่นกัน ซึ่งรถในกลุ่มคอมแพกต์ถือเป็นเซกเมนท์สำคัญ ดังนั้นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบ ส่วนกรอบระยะเวลาในการทำตลาดนั้น ยังไม่สามารถบอกได้”
นอกจากนี้ในส่วนของปิกอัพ ฮาเซกาวายังไม่ทิ้งความสำคัญและย้ำว่า ตลาดปิกอัพเป็นเซกเมนท์ใหญ่ และมีเทรนด์เปลี่ยนไปตลอดเวลา เพราะถ้าไม่นับกลุ่มรถแบบตอนเดียว ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์จริงๆแล้ว เมื่อก่อนตลาดนิยมตัวถังคิงส์แค็บ(ตอนครึ่ง)เกียร์ธรรมดา แต่ปัจจุบันหันมานิยมรถแบบดับเบิลแค็บเกียร์อัตโนมัติ รวมถึงรถประเภทขับสองยกสูงมากขึ้น ซึ่งเราพยายามปรับให้ตัวให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
“แม้เทรนด์ของตลาดจะมุ่งไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่สำหรับเมืองไทยยังมีวัฒนธรรมการใช้ปิกอัพอยู่โดยเฉพาะต่างจังหวัด ในส่วนของฟรอนเทียร์ นาวาราเอง เราไม่ได้ลดความสำคัญลงไป โดยปีนี้จะมีการตลาดหลายรูปแบบ รุกกิจกรรมที่เข้าถึงลูกค้าโดยตรง พร้อมโปรโมชันพิเศษ แต่ถ้าถามว่าโปรดักต์จะมีการปรับโฉม(ไมเนอร์เชนจ์)หรือไม่ ตนเองไม่สามารถเปิดเผยได้”
อย่างไรก็ตามด้วยเทรนด์ตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาจทำให้ยอดขายปิกอัพโดยรวมทรงตัว หรือไม่ตก ไม่โตไปจากนี้ ยอดขายน่าจะอยู่ระดับ 300,000 คันต่อปี หรือครองส่วนแบ่งในตลาดรวม 40%-50% ลดลงจากเดิมที่เคยสูงกว่า 60%
“ปิกอัพเป็นตัวที่สร้างรายได้หลักให้บริษัท โดยเราแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการลงทุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตปิกอัพ 1 ตัน และแม้สภาพตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าเรายังมีตลาดส่งออกที่สำคัญไม่แพ้กัน”
...นั่นเป็นทิศทางโปรดักต์ของนิสสัน ซึ่งจริงๆแล้วการทำตลาดรถรุ่นใดๆจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าขาดทีมงานหรือหลังบ้านที่เข้มแข็ง โดยท่านประธานฮาเซกาวาไม่ได้ละเลยประเด็นนี้เช่นกัน
“เรากำหนดวิสัยทัศน์องค์กรว่า ภายในปี 2555 จะต้องมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 10% ดังนั้นพนักงานทุกคนจึงรับทราบเป้าหมาย และรู้ว่าต้องเดินไปทิศทางไหน”ฮาเซกาวากล่าว
ในปีที่ผ่านมา ฮาเซกาวาบอกว่าได้ดำเนินการหลายอย่าง โดยเฉพาะการประสานงานในองค์กรที่ทุกวันนี้ทำงานร่วมกันเป็นทีมเวิร์คมากขึ้น หลังจากเมื่อก่อนฝ่ายผลิต,ขาย,การตลาด ไปคนละทาง โดยไม่คำนึงว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร ขณะเดียวกันต้องวางระบบเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายให้ทำงานประสานกันด้วย
ส่วนเรื่องทรัพยากรบุคลลต้องยอมรับว่า นิสสันเป็นแบรนด์เก่าแก่ ทำตลาดในประเทศไทยมานาน มีวัฒธรรมองค์กรที่ฝังรากลึก พนักงานบางคนอยู่มานานและมีคุณค่ากับบริษัท แต่บางส่วนก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ยาก ดังนั้นต้องปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ยังเน้นเรื่องการผลักดันคนท้องถิ่น ให้มีบทบาทในองค์กรมากขึ้น เห็นได้จากการเปลี่ยนผู้บริหารในส่วนการขายและการตลาดมาเป็นคนไทย ซึ่งเป็นนโยบายที่ชัดเจนของบริษัท
ในส่วนของจุดที่ต้องแก้ไขเป็นการด่วน ฮาเซกาวายังคงเห็นเป็นเรื่องปรับปรุงบริการหลังการขาย และพยายามพัฒนาโปรแกรมต่างๆเพื่อความพอใจสูงสุดของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ราคาอะไหล่ที่แข่งขันได้ รวมถึงทักษะของช่างเทคนิค พนักงานขาย และแผนงานเรื่องลูกค้าสัมพันธ์ ต้องพัฒนาให้ดีกว่านี้
หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเป็นตามแผน เป้าหมายที่มีส่วนแบ่งการตลาด 10% ในปี 2555 คงไม่ยากนัก แต่สำหรับในปี 2553 นี้ ฮาเซกาวามีความหวังว่า จะสามารถทำยอดขายประจำปีงบประมาณ (เมษายน 2553 - มีนาคม 2554) ไว้ไม่ต่ำกว่า 45,000 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 7.5% ในจำนวนนี้แบ่งเป็นปิกอัพ 20,000 คัน และอีก 25,000 คันเป็นรถยนต์นั่ง โดยมีอีโคคาร์เป็นตัวหลักในการผลักดันยอดขาย
คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เป้าหมายดังกล่าวก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า... นิสสันคาดหวังกับอีโคคาร์แค่ไหน?