จับทิศทาง “ฮอนด้า” หลังประธาน“ฟูจิโมโต” ลั่นโปรเจกต์อีโคคาร์พร้อมรบปีหน้า โดยยึดแบบการพัฒนามาจากรถต้นแบบ New Small Concept ที่เพิ่งเปิดตัวสดๆร้อนๆใน “นิวเดลี มอเตอร์โชว์ 2010” ประเทศอินเดีย คาดขึ้นไลน์ผลิตปลายปีนี้ ส่วนไฮบริดยังแทงกั๊กไม่เผยเวลาทำตลาดแน่นอน แต่ต้องจับตา 2 ตัวเต็ง แจ๊ซ,CR-Z ไฮบริด ที่เตรียมขายในญี่ปุ่นแล้ว ย้ำถ้ามาจริงต้องประกอบในประเทศเท่านั้น ส่วนแผนการตลาดปีเสือเน้นโปรดักต์โดนใจ กิจกรรมเข้าถึงตัวผู้บริโภค ผ่านดีลเลอร์ทั่วประเทศ หวังดันยอดขายทะลุ 95,000 คัน

ฮอนด้าเป็นหนึ่งในหกค่ายรถยนต์ที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ในโครงการผลิตรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ “อีโคคาร์” ซึ่งที่ผ่านมา ทั้งบรรดาผู้บริหารและทีมงานโปรดักต์-การตลาด ต่างแบ่งรับแบ่งสู้ถึงช่วงเวลาในการเปิดตัวอย่างเป็นทางการมาตลอด
จนกระทั่งในงาน “นิวเดลี มอเตอร์โชว์ 2010” ประเทศอินเดียเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ความชัดเจนเริ่มปรากฎหลังฮอนด้าเปิดตัวต้นแบบรุ่นใหม่ชื่อ New Small Concept พร้อมรายงานข่าวอย่างเป็นทางการจากฮอนด้าระบุว่า เก๋งเล็กรุ่นนี้จะเป็นLow Cost car ที่เตรียมพัฒนาและผลิตขายในอินเดีย รวมถึงประเทศไทยตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นไป
สำหรับ New Small Concept ฮอนด้าไม่ได้แจกแจงรายละเอียดทางวิศวกรรมใดๆ นอกจากจะเปิดเผยเพียงว่า เก๋งเล็กรุ่นใหม่ มาภายใต้แนวคิดการออกแบบEfficient Energetic Exterior พร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทันสมัย ขนาดกะทัดรัดกับตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู พร้อมราคาที่ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย
จากความเคลื่อนไหวในอินเดียต่อเนื่องมาถึงประเทศไทย ซึ่งประเด็นนี้ อาซึชิ ฟูจิโมโต ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ว่า ปีหน้าบริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในโครงการอีโคคาร์แน่นอน ส่วนระยะเวลาการทำตลาดนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้


“ตัวที่โชว์ในงาน นิวเดลี มอเตอร์โชว์ เป็นเพียงคอนเซปต์คาร์ แต่ถ้ามาทำตลาดในไทยซึ่งเป็นรูปแบบแมสโปรดักต์ชันคงมีความต่างออกไป และอาจปรับบางอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าชาวไทย” ฟูจิโมโต กล่าว
...แม้จะไม่เปิดเผยรายละเอียดของอีโคคาร์ได้มากมาย ตามสไตล์ประธานที่ต้องสงวนท่าที แต่ก็ชัดเจนจากปากว่าเก๋งเล็กรุ่นใหม่จะทำตลาดปีหน้าแน่นอน ทั้งนี้จากการคาดหมายของ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” เชื่อว่าตัวขายจริงหน้าตาคงไม่หนีจาก New Small Concept ที่นำมาอวดโฉมในอินเดียมากนัก ส่วนเครื่องยนต์ประจำการใต้ฝากระโปรงน่าจะเป็นเบนซินขนาด 1.2 หรือ 1.3 ลิตร โดยเตรียมขึ้นไลน์ผลิตปลายปีนี้ จากนั้นจะเริ่มทำตลาดช่วงต้นปี 2554
อย่างไรก็ตามถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ฮอนด้าจะเป็นค่ายรถยนต์อันดับสอง ต่อจากนิสสันที่เตรียมเปิดตัวอีโคคาร์ก่อนในเดือนมีนาคมนี้ ส่วนอีก 4 ค่ายที่เหลือคือ ซูซูกิ มิตซูบิชิ ทาทา และโตโยต้า น่าจะเปิดตัวอย่างเร็วก็ปี 2555 เป็นต้นไป
“แนวโน้มรถยนต์นั่งขนาดเล็กกำลังมาแรง ซึ่งเป็นเทรนด์เหมือนกันทั่วโลก ส่วนอีโคคาร์ที่เป็นโปรเจกต์ใหม่น่าจะเข้ามากระตุ้นตลาดในประเทศได้เป็นอย่างดี ส่วนการเปิดตัวอีโคคาร์ของนิสสัน เราคงไม่สามารถให้ความคิดเห็นได้ และคงต้องรอดูผลตอบรับ หลังการเปิดตัวอีกครั้งหนึ่ง”ฟูจิโมโต กล่าว
นั่นเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับ ฮอนด้า อีโคคาร์ ซึ่งใครอยากเป็นลูกค้าคงต้องรอไปถึงต้นปีหน้า ส่วนโปรดักต์ในปีนี้อาจจดูเงียบๆไปบ้าง และจะมีเพียงรถยนต์นั่งขนาดกลาง “แอคคอร์ด” ที่เตรียมไมเนอร์เชนจ์ปลายปีเท่านั้น
ส่วนกระแสข่าวที่ว่าฮอนด้า อาจจะมีเครื่องยนต์ดีเซลมาประทับในรถยนต์นั่งบางรุ่น หรือ คอมแพกต์เอสยูวี “ซีอาร์-วี” ซึ่งในประเด็นนี้ อาซึชิ ฟูจิโมโต บอกว่า ในยุโรปเครื่องยนต์ดีเซลได้รับความนิยมมาก แต่จริงๆแล้วถ้านับยอดขายทั่วโลกเครื่องยนต์เบนซินยังมีสัดส่วนมากกว่า ยิ่งในปัจจุบันรถเครื่องยนต์เบนซินมีเทคโนโลยีไฮบริดเสริมเข้ามา พร้อมทำตลาดในหลายๆประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ผู้บริโภคเริ่มตื่นตัวเรื่องรถไฮบริดแล้ว
“ตอนนี้เราไม่มีแผนวางเครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์นั่งที่ทำตลาดในไทย ซึ่งไทยน่าจะเหมาะสมกับเทคโนโลยีไฮบริดมากกว่า ส่วนคำถามว่าเมื่อไหร่ฮอนด้าจะทำตลาดรถไฮบริดคงไม่สามารถบอกได้ แต่เรากำลังศึกษาถึงความน่าจะเป็นในอนาคตเช่นกัน”


...ในไทยแม้จะยังไม่ชัดเจนเรื่องระยะเวลา แต่ในตลาดโลกฮอนด้าวางแผนงานรถไฮบริดไว้ชัดเจน เพราะนอกจากรุ่น อินไซท์ ไฮบริด ที่ทำยอดขายเป็นกอบเป็นกำ ทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่นแล้ว ล่าสุดฮอนด้าเพิ่งเปิดตัว สปอร์ตคูเป้ ไฮบริด รุ่น CR-Z (ตัวขายจริง)ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และหลังจากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์เตรียมขายที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกทันที โดยมาพร้อมระบบไฮบริด IMA ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1,500 ซีซี i-VTEC ผสานงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
นอกจาก CR-Z ไฮบริดแล้ว ฮอนด้ายังเตรียมทำตลาด “แจ๊ซ/ฟิต ไฮบริด” ที่มากับเครื่องยนต์ไฮบริดแบบ IMA ซึ่งเป็นการจับคู่การทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1,300 ซีซี กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเดียวกับที่ติดตั้งอยู่ในอินไซท์ โดยเตรียมลุยตลาดญี่ปุ่นภายในปีนี้เช่นกัน


ส่วนความเป็นไปได้ในการทำตลาดรถไฮบริด 2 รุ่นนี้ในไทย นายฟูจิโมโต เปิดเผยว่า ฮอนด้าเลือกที่จะทำตลาดไฮบริด ในรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถสปอร์ต ซึ่งเป็นทิศทางที่น่าจะได้การตอบรับดีในญี่ปุ่นหรืออเมริกา ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวน่าจะสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยเหมือนกัน
“เรามองไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งระหว่างนี้เรากำลังทำการศึกษาวิจัย เพราะถ้าได้ผลว่ากลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีความพร้อม ก็เตรียมทำตลาดรถไฮบริดในไทยทันที ซึ่งคงจะมารูปแบบขึ้นไลน์ผลิตในประเทศ (CKD) เพื่อสามารถทำราคาให้แข่งขันได้ ส่วนจะเป็นแจ๊ซ,CR-Z หรือ แอคคอร์ด ไฮบริด ตรงนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก”
...ต้องยอมรับว่าแผนโปรดักต์ใหม่ อาซึชิ ฟูจิโมโต อาจต้องระมัดระวังในการเปิดเผย แต่ในส่วนของแผนงานและทิศทางการตลาดในปีนี้ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ยังแสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ
“ปีนี้เราตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่นไว้ 95,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ทำได้ 93,000 คัน โดยแผนที่จะนำมาใช้คือการสร้างแบรนด์ เน้นภาพลักษณ์องค์กร และทำโปรดักต์ให้เป็นที่ยอมรับ ควบคู่ไปกับการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ผ่านกิจกรรมการตลาดต่างๆ ที่เราจะเข้าไปสนับสนุนดีลเลอร์มากขึ้น”
นายฟูจิโมโต กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ตนเองถนัด นั่นคือการผลิตและขายส่งอย่างเดียว จากที่ผ่านมา ยังมีการทำธุรกิจเป็นผู้แทนจำหน่ายอยู่บ้าง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจดังกล่าวเหลือเพียงหนึ่งแห่งคือ บริษัท สาธร ฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด (เมื่อก่อนทำดีลเลอร์ที่ศรีอยุธยา และบางนาควบคู่ไปด้วย) ซึ่งเป็นในรูปแบบการถือหุ้นร่วมทุน แต่หลังจากนี้ไปจะค่อยๆขยับออกมาทั้งหมด
อย่างไรก็ตามในส่วนของการขาย และบริการหลังการขาย บริษัทเตรียมเสริมศักยภาพดีลเลอร์ให้แข็งแกร่งในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ขณะเดียวกันยังเตรียมเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานเป็น 153 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ 146 แห่งทั่วประเทศ
ด้านการผลิตรถยนต์ที่โรงงานนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ในปี 2552 มีจำนวน 130,000 คัน แต่ในปี 2553เศรษฐกิจทั่วโลกดีขึ้น ทำให้ตลาดส่งออกน่าจะสดใส ดังนั้นฮอนด้าจะผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 คัน หรือขยายตัวกว่า 15%
...นี่คือวิสัยทัศน์แม่ทัพ “อาซึชิ ฟูจิโมโต” ซึ่งโดยตำแหน่ง อาจเปิดเผยรายละเอียดของแผนงานในเชิงลึกมากไม่ได้ แต่กระนั้นก็พอจะจับทิศทางฮอนด้าในอนาคตได้ระดับหนึ่ง
ฮอนด้าเป็นหนึ่งในหกค่ายรถยนต์ที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ในโครงการผลิตรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ “อีโคคาร์” ซึ่งที่ผ่านมา ทั้งบรรดาผู้บริหารและทีมงานโปรดักต์-การตลาด ต่างแบ่งรับแบ่งสู้ถึงช่วงเวลาในการเปิดตัวอย่างเป็นทางการมาตลอด
จนกระทั่งในงาน “นิวเดลี มอเตอร์โชว์ 2010” ประเทศอินเดียเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ความชัดเจนเริ่มปรากฎหลังฮอนด้าเปิดตัวต้นแบบรุ่นใหม่ชื่อ New Small Concept พร้อมรายงานข่าวอย่างเป็นทางการจากฮอนด้าระบุว่า เก๋งเล็กรุ่นนี้จะเป็นLow Cost car ที่เตรียมพัฒนาและผลิตขายในอินเดีย รวมถึงประเทศไทยตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นไป
สำหรับ New Small Concept ฮอนด้าไม่ได้แจกแจงรายละเอียดทางวิศวกรรมใดๆ นอกจากจะเปิดเผยเพียงว่า เก๋งเล็กรุ่นใหม่ มาภายใต้แนวคิดการออกแบบEfficient Energetic Exterior พร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทันสมัย ขนาดกะทัดรัดกับตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู พร้อมราคาที่ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย
จากความเคลื่อนไหวในอินเดียต่อเนื่องมาถึงประเทศไทย ซึ่งประเด็นนี้ อาซึชิ ฟูจิโมโต ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ว่า ปีหน้าบริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในโครงการอีโคคาร์แน่นอน ส่วนระยะเวลาการทำตลาดนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้
“ตัวที่โชว์ในงาน นิวเดลี มอเตอร์โชว์ เป็นเพียงคอนเซปต์คาร์ แต่ถ้ามาทำตลาดในไทยซึ่งเป็นรูปแบบแมสโปรดักต์ชันคงมีความต่างออกไป และอาจปรับบางอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าชาวไทย” ฟูจิโมโต กล่าว
...แม้จะไม่เปิดเผยรายละเอียดของอีโคคาร์ได้มากมาย ตามสไตล์ประธานที่ต้องสงวนท่าที แต่ก็ชัดเจนจากปากว่าเก๋งเล็กรุ่นใหม่จะทำตลาดปีหน้าแน่นอน ทั้งนี้จากการคาดหมายของ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” เชื่อว่าตัวขายจริงหน้าตาคงไม่หนีจาก New Small Concept ที่นำมาอวดโฉมในอินเดียมากนัก ส่วนเครื่องยนต์ประจำการใต้ฝากระโปรงน่าจะเป็นเบนซินขนาด 1.2 หรือ 1.3 ลิตร โดยเตรียมขึ้นไลน์ผลิตปลายปีนี้ จากนั้นจะเริ่มทำตลาดช่วงต้นปี 2554
อย่างไรก็ตามถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ฮอนด้าจะเป็นค่ายรถยนต์อันดับสอง ต่อจากนิสสันที่เตรียมเปิดตัวอีโคคาร์ก่อนในเดือนมีนาคมนี้ ส่วนอีก 4 ค่ายที่เหลือคือ ซูซูกิ มิตซูบิชิ ทาทา และโตโยต้า น่าจะเปิดตัวอย่างเร็วก็ปี 2555 เป็นต้นไป
“แนวโน้มรถยนต์นั่งขนาดเล็กกำลังมาแรง ซึ่งเป็นเทรนด์เหมือนกันทั่วโลก ส่วนอีโคคาร์ที่เป็นโปรเจกต์ใหม่น่าจะเข้ามากระตุ้นตลาดในประเทศได้เป็นอย่างดี ส่วนการเปิดตัวอีโคคาร์ของนิสสัน เราคงไม่สามารถให้ความคิดเห็นได้ และคงต้องรอดูผลตอบรับ หลังการเปิดตัวอีกครั้งหนึ่ง”ฟูจิโมโต กล่าว
นั่นเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับ ฮอนด้า อีโคคาร์ ซึ่งใครอยากเป็นลูกค้าคงต้องรอไปถึงต้นปีหน้า ส่วนโปรดักต์ในปีนี้อาจจดูเงียบๆไปบ้าง และจะมีเพียงรถยนต์นั่งขนาดกลาง “แอคคอร์ด” ที่เตรียมไมเนอร์เชนจ์ปลายปีเท่านั้น
ส่วนกระแสข่าวที่ว่าฮอนด้า อาจจะมีเครื่องยนต์ดีเซลมาประทับในรถยนต์นั่งบางรุ่น หรือ คอมแพกต์เอสยูวี “ซีอาร์-วี” ซึ่งในประเด็นนี้ อาซึชิ ฟูจิโมโต บอกว่า ในยุโรปเครื่องยนต์ดีเซลได้รับความนิยมมาก แต่จริงๆแล้วถ้านับยอดขายทั่วโลกเครื่องยนต์เบนซินยังมีสัดส่วนมากกว่า ยิ่งในปัจจุบันรถเครื่องยนต์เบนซินมีเทคโนโลยีไฮบริดเสริมเข้ามา พร้อมทำตลาดในหลายๆประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ผู้บริโภคเริ่มตื่นตัวเรื่องรถไฮบริดแล้ว
“ตอนนี้เราไม่มีแผนวางเครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์นั่งที่ทำตลาดในไทย ซึ่งไทยน่าจะเหมาะสมกับเทคโนโลยีไฮบริดมากกว่า ส่วนคำถามว่าเมื่อไหร่ฮอนด้าจะทำตลาดรถไฮบริดคงไม่สามารถบอกได้ แต่เรากำลังศึกษาถึงความน่าจะเป็นในอนาคตเช่นกัน”
...ในไทยแม้จะยังไม่ชัดเจนเรื่องระยะเวลา แต่ในตลาดโลกฮอนด้าวางแผนงานรถไฮบริดไว้ชัดเจน เพราะนอกจากรุ่น อินไซท์ ไฮบริด ที่ทำยอดขายเป็นกอบเป็นกำ ทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่นแล้ว ล่าสุดฮอนด้าเพิ่งเปิดตัว สปอร์ตคูเป้ ไฮบริด รุ่น CR-Z (ตัวขายจริง)ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และหลังจากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์เตรียมขายที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกทันที โดยมาพร้อมระบบไฮบริด IMA ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1,500 ซีซี i-VTEC ผสานงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
นอกจาก CR-Z ไฮบริดแล้ว ฮอนด้ายังเตรียมทำตลาด “แจ๊ซ/ฟิต ไฮบริด” ที่มากับเครื่องยนต์ไฮบริดแบบ IMA ซึ่งเป็นการจับคู่การทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1,300 ซีซี กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเดียวกับที่ติดตั้งอยู่ในอินไซท์ โดยเตรียมลุยตลาดญี่ปุ่นภายในปีนี้เช่นกัน
ส่วนความเป็นไปได้ในการทำตลาดรถไฮบริด 2 รุ่นนี้ในไทย นายฟูจิโมโต เปิดเผยว่า ฮอนด้าเลือกที่จะทำตลาดไฮบริด ในรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถสปอร์ต ซึ่งเป็นทิศทางที่น่าจะได้การตอบรับดีในญี่ปุ่นหรืออเมริกา ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวน่าจะสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยเหมือนกัน
“เรามองไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งระหว่างนี้เรากำลังทำการศึกษาวิจัย เพราะถ้าได้ผลว่ากลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีความพร้อม ก็เตรียมทำตลาดรถไฮบริดในไทยทันที ซึ่งคงจะมารูปแบบขึ้นไลน์ผลิตในประเทศ (CKD) เพื่อสามารถทำราคาให้แข่งขันได้ ส่วนจะเป็นแจ๊ซ,CR-Z หรือ แอคคอร์ด ไฮบริด ตรงนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก”
...ต้องยอมรับว่าแผนโปรดักต์ใหม่ อาซึชิ ฟูจิโมโต อาจต้องระมัดระวังในการเปิดเผย แต่ในส่วนของแผนงานและทิศทางการตลาดในปีนี้ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ยังแสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ
“ปีนี้เราตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่นไว้ 95,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ทำได้ 93,000 คัน โดยแผนที่จะนำมาใช้คือการสร้างแบรนด์ เน้นภาพลักษณ์องค์กร และทำโปรดักต์ให้เป็นที่ยอมรับ ควบคู่ไปกับการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ผ่านกิจกรรมการตลาดต่างๆ ที่เราจะเข้าไปสนับสนุนดีลเลอร์มากขึ้น”
นายฟูจิโมโต กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ตนเองถนัด นั่นคือการผลิตและขายส่งอย่างเดียว จากที่ผ่านมา ยังมีการทำธุรกิจเป็นผู้แทนจำหน่ายอยู่บ้าง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจดังกล่าวเหลือเพียงหนึ่งแห่งคือ บริษัท สาธร ฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด (เมื่อก่อนทำดีลเลอร์ที่ศรีอยุธยา และบางนาควบคู่ไปด้วย) ซึ่งเป็นในรูปแบบการถือหุ้นร่วมทุน แต่หลังจากนี้ไปจะค่อยๆขยับออกมาทั้งหมด
อย่างไรก็ตามในส่วนของการขาย และบริการหลังการขาย บริษัทเตรียมเสริมศักยภาพดีลเลอร์ให้แข็งแกร่งในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ขณะเดียวกันยังเตรียมเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานเป็น 153 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ 146 แห่งทั่วประเทศ
ด้านการผลิตรถยนต์ที่โรงงานนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ในปี 2552 มีจำนวน 130,000 คัน แต่ในปี 2553เศรษฐกิจทั่วโลกดีขึ้น ทำให้ตลาดส่งออกน่าจะสดใส ดังนั้นฮอนด้าจะผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 คัน หรือขยายตัวกว่า 15%
...นี่คือวิสัยทัศน์แม่ทัพ “อาซึชิ ฟูจิโมโต” ซึ่งโดยตำแหน่ง อาจเปิดเผยรายละเอียดของแผนงานในเชิงลึกมากไม่ได้ แต่กระนั้นก็พอจะจับทิศทางฮอนด้าในอนาคตได้ระดับหนึ่ง