ต่อจากการเปิดตัวซีรีส์ 5 ใหม่ในรหัส F10 เพื่อลุยตลาดยุโรปเดือนมีนาคมนี้ได้ไม่นาน ทางบีเอ็มดับเบิลยูจัดการกระตุ้นตลาดผลผลิตที่เกี่ยวเนื่องอย่างเอสยูวีขนาดกลางกึ่งใหญ่อย่างรุ่น X5 ด้วยการปรับโฉมเพิ่มความสดใหม่รอบคัน พร้อมทางเลือกใหม่ของเครื่องยนต์ใหมทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่นท็อป
X5 เป็นเอสยูวีที่บีเอ็มดับเบิลยูให้นิยามใหม่ว่าเป็น SAV หรือ Sport Activity Vehicle ที่เปิดขึ้นยุคปลายทศวรรษที่ 1990 ในช่วงที่ตลาดเอสยูวีกำลังเบ่งบานโดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งการเปิดตัวรุ่นแรก (E53) ที่ถูกพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของซีรีส์ 5 ออกมาปี 1999 ยังถือเป็นการกระตุกทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่รุ่น M-Class ออกมาทำตลาดก่อนหน้านี้ 1 ปีอีกด้วย พร้อมกับมีไลน์ผลิตอยู่ที่โรงงานสปาตาเบิร์ก มลรัฐนอร์ธ แคโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในรุ่นปัจจุบันที่กำลังทำตลาดเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 รหัส E70 เปิดตัวครั้งแรกปี 2007 ส่วนที่เห็นอยู่นี้เป็นการปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์เพื่อกระตุ้นตลาดเป็นครั้งแรกกับความเปลี่ยนแปลงรอบคันโดยเฉพาะในส่วนท้ายที่สังเกตเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เพราะมีการเปลี่ยนไฟท้ายใหม่และเปลี่ยนมาเป็นแบบ LED เช่นเดียวกับกันชนท้ายซึ่งมีการย้ายตำแหน่งของแผงทับทิมขยับขึ้นไปอยู่ด้านบนติดกับฝากระโปรงท้าย
ส่วนด้านหน้าดูผ่านๆ อาจจะไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าดูดีๆ แล้วจะพบว่ามีการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ทั้งชิ้น ขณะที่กระจังหน้ามีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนฝากระโปรงหน้าและไฟหน้ายังเป็นทรงเดิม โดยทางบีเอ็มดับเบิลยูเผยว่าเอ็กซ์5 ใหม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนจากรุ่นเดิมมากกว่า 4,000 รายการด้วยกัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นเอสยูวีตัวถังสูงโย่ง แต่ตอบสนองการขับที่ยอดเยี่ยมด้วยการออกแบบตัวรถให้มีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักระหว่างด้านหน้าและหลังในอัตราส่วนเกือบๆ 50:50%
ทางเลือกของเครื่องยนต์ถือเป็นอีกจุดของความเปลี่ยนแปลง โดยในรุ่นท็อปจากเดิมทำตลาดด้วยรหัส X5 xDrive48i มาเป็น X5 xDrive50i ด้วยเครื่องยนต์วี8 4,400 ซีซี เทอร์โบคู่ ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์อย่าง X6 ในปี 2008 โดยขุมพลังบล็อกนี้ตอบสนองความเร้าใจด้วยกำลังขับเคลื่อน 400 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 62.1 กก.-ม. ที่ 1,7500-4,500 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.3 วินา
ส่วนรุ่นอื่นๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เริ่มจาก X5 xDrive35i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ทวินแคม 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ในรหัส N55 โดยเปลี่ยนเทอร์โบมาเป็นแบบ Twin-Scroll แม้ว่าจะมีกำลังขับเคลื่อน 300 แรงม้าเท่ากับเครื่องยนต์เดิมในรหัส N54 แต่ตัวเลขของอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงดีขึ้น ใช้เวลาแค่ 5.4 วินาทีเท่านั้น ซึ่งมีฝีเท้าเทียบเท่ากับรุ่น X5 xDrive48i เลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีรุ่นเทอร์โบดีเซลทำตลาดเหมือนเดิมกับรหัส X5 xDrive35d แบบ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี มีกำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 59.1 กก.-ม. ที่ 1,750-2,250 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6.9 วินาที
ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินจับคู่กับเกียร์ใหม่เป็นแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF เหมือนกับซีรีส์ 7 ใหม่ และซีรีส์ 5 แกรน ทัวริสโม ซึ่งเกียร์รุ่นนี้มีโหมดการทำงานให้เลือก 3 แบบ คือ Drive, Drive Sport และ Manual ทำให้ผู้ขับสามารถเลือกเล่นเกียร์ด้วยการกดแป้น +/-
และในรุ่นเบนซินทุกรุ่นก็มีการติดตั้งระบบ Brake Energy Regeneration ซึ่งจะการทำงานคล้ายกับระบบที่ใช้ในรถยนต์ไฮบริด โดยมีการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ระหว่างที่มีการเบรก เพื่อนำมาใช้ในระบบเป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ ทำให้มีความประหยัดน้ำมันได้ 1-2%
การเปิดตัวของ X5 ไมเนอร์เชนจ์จะมีขึ้นที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 เดือนมีนาคมนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มทำตลาดทันที โดยมีราคาอยู่ระหว่าง 46,675-59,275 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.54-1.95 ล้านบาท ส่วนตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ทางบีเอ็มดับเบิลยูเผยว่าจะนำออกเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่งานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2010 ซึ่งเริ่มขึ้นในระหว่างวันที่ 2-11 เมษายนนี้
X5 เป็นเอสยูวีที่บีเอ็มดับเบิลยูให้นิยามใหม่ว่าเป็น SAV หรือ Sport Activity Vehicle ที่เปิดขึ้นยุคปลายทศวรรษที่ 1990 ในช่วงที่ตลาดเอสยูวีกำลังเบ่งบานโดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งการเปิดตัวรุ่นแรก (E53) ที่ถูกพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของซีรีส์ 5 ออกมาปี 1999 ยังถือเป็นการกระตุกทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่รุ่น M-Class ออกมาทำตลาดก่อนหน้านี้ 1 ปีอีกด้วย พร้อมกับมีไลน์ผลิตอยู่ที่โรงงานสปาตาเบิร์ก มลรัฐนอร์ธ แคโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในรุ่นปัจจุบันที่กำลังทำตลาดเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 รหัส E70 เปิดตัวครั้งแรกปี 2007 ส่วนที่เห็นอยู่นี้เป็นการปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์เพื่อกระตุ้นตลาดเป็นครั้งแรกกับความเปลี่ยนแปลงรอบคันโดยเฉพาะในส่วนท้ายที่สังเกตเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เพราะมีการเปลี่ยนไฟท้ายใหม่และเปลี่ยนมาเป็นแบบ LED เช่นเดียวกับกันชนท้ายซึ่งมีการย้ายตำแหน่งของแผงทับทิมขยับขึ้นไปอยู่ด้านบนติดกับฝากระโปรงท้าย
ส่วนด้านหน้าดูผ่านๆ อาจจะไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าดูดีๆ แล้วจะพบว่ามีการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ทั้งชิ้น ขณะที่กระจังหน้ามีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนฝากระโปรงหน้าและไฟหน้ายังเป็นทรงเดิม โดยทางบีเอ็มดับเบิลยูเผยว่าเอ็กซ์5 ใหม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนจากรุ่นเดิมมากกว่า 4,000 รายการด้วยกัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นเอสยูวีตัวถังสูงโย่ง แต่ตอบสนองการขับที่ยอดเยี่ยมด้วยการออกแบบตัวรถให้มีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักระหว่างด้านหน้าและหลังในอัตราส่วนเกือบๆ 50:50%
ทางเลือกของเครื่องยนต์ถือเป็นอีกจุดของความเปลี่ยนแปลง โดยในรุ่นท็อปจากเดิมทำตลาดด้วยรหัส X5 xDrive48i มาเป็น X5 xDrive50i ด้วยเครื่องยนต์วี8 4,400 ซีซี เทอร์โบคู่ ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์อย่าง X6 ในปี 2008 โดยขุมพลังบล็อกนี้ตอบสนองความเร้าใจด้วยกำลังขับเคลื่อน 400 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 62.1 กก.-ม. ที่ 1,7500-4,500 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.3 วินา
ส่วนรุ่นอื่นๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เริ่มจาก X5 xDrive35i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ทวินแคม 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ในรหัส N55 โดยเปลี่ยนเทอร์โบมาเป็นแบบ Twin-Scroll แม้ว่าจะมีกำลังขับเคลื่อน 300 แรงม้าเท่ากับเครื่องยนต์เดิมในรหัส N54 แต่ตัวเลขของอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงดีขึ้น ใช้เวลาแค่ 5.4 วินาทีเท่านั้น ซึ่งมีฝีเท้าเทียบเท่ากับรุ่น X5 xDrive48i เลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีรุ่นเทอร์โบดีเซลทำตลาดเหมือนเดิมกับรหัส X5 xDrive35d แบบ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี มีกำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 59.1 กก.-ม. ที่ 1,750-2,250 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6.9 วินาที
ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินจับคู่กับเกียร์ใหม่เป็นแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF เหมือนกับซีรีส์ 7 ใหม่ และซีรีส์ 5 แกรน ทัวริสโม ซึ่งเกียร์รุ่นนี้มีโหมดการทำงานให้เลือก 3 แบบ คือ Drive, Drive Sport และ Manual ทำให้ผู้ขับสามารถเลือกเล่นเกียร์ด้วยการกดแป้น +/-
และในรุ่นเบนซินทุกรุ่นก็มีการติดตั้งระบบ Brake Energy Regeneration ซึ่งจะการทำงานคล้ายกับระบบที่ใช้ในรถยนต์ไฮบริด โดยมีการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ระหว่างที่มีการเบรก เพื่อนำมาใช้ในระบบเป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ ทำให้มีความประหยัดน้ำมันได้ 1-2%
การเปิดตัวของ X5 ไมเนอร์เชนจ์จะมีขึ้นที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 เดือนมีนาคมนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มทำตลาดทันที โดยมีราคาอยู่ระหว่าง 46,675-59,275 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.54-1.95 ล้านบาท ส่วนตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ทางบีเอ็มดับเบิลยูเผยว่าจะนำออกเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่งานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2010 ซึ่งเริ่มขึ้นในระหว่างวันที่ 2-11 เมษายนนี้