xs
xsm
sm
md
lg

Cadillac XTS Platinum Concept : ยอดความหรูลุยคู่ปรับเยอรมัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ที่ผ่านมา แคดิลแล็ก 1 ใน 4 แบรนด์หลักของเครือจีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์สต้องการสร้างยอดขายในตลาดรถยนต์หรูเพื่อแข่งกับคู่ปรับจากเยอรมนีอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และออดี้ ด้วยการผลิตทั้งรุ่น CTS และ STS ออกมาขายในตลาด

แต่สิ่งที่เดียวที่ยังขาดหายไปสำหรับค่ายนี้ คือ การผลิตรถยนต์รุ่นท็อปที่เปรียบเสมือนเรือธงของค่ายในการเจาะตลาดทั่วโลก เพราะแม้ว่าจะมีรุ่น DTS ขายอยู่ แต่ทว่าก็เป็นผลผลิตที่เฉพาะกลุ่มเกินไปและเน้นขายในบ้านตัวเองเป็นหลัก ไม่มีความเป็นอินเตอร์ฯ ในการทำตลาดเหมือนกับที่ 3 ค่ายนี้มีรุ่นเอส-คลาส, ซีรีส์ 7 และเอ8 ในการทำตลาด

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ แคดิลแล็กเริ่มมีการขยับตัวแล้ว และต้นแบบที่ชื่อ XTS Platinum Concept ที่เปิดตัวในดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของแคดิลแล็กในการแข่งขันกับคู่ปรับจากแดนเบียร์ในตลาดรถยนต์หรูระดับโลก

ตัวรถมีความยาวในระดับ 5,170 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร สูง 1,500 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,837 มิลลิเมตร ได้รับการออกแบบโดยผสมผสานความหรูและความสปอร์ตเข้าด้วยกันอย่างลงตัวภายใต้คอนเซ็ปต์ในการออกแบบยุคใหม่ของแคดิลแล็กที่เรียกว่า Art&Science และเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว

ขณะที่ความหรูของตัวรถถูกสะท้อนออกมาอย่างเต็มรูปแบบจากทั้งภายนอกและภายในตามชื่อรุ่นย่อย Platinum ที่ต่อท้าย ซึ่งเป็นรุ่นตกแต่งระดับท็อปที่แคดิลแล็กนำมาใช้กับรถยนต์ที่ขายอยู่ในตลาดอย่าง STS, DTS และเอสคาเลด

สำหรับการขับเคลื่อนมาในรูปแบบของระบบไฮบริดแบบ Plug-in ซึ่งหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนมาจากเครื่องยนต์เบนซินวี6 3,600 ซีซี แบบ Direct Injection พร้อมระบบวาล์วแปรผันจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไม่ได้บอกสเปกออกมา แต่ทว่าเมื่อทั้ง 2 ทำงานร่วมกันจะมีการผลิตกำลังออกมาได้ 350 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม.

ตัวระบบสามารถขับเคลื่อนภายใต้รูปแบบของรถยนต์พลังไฟฟ้าได้จนกว่าแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนที่อยู่ภายในจะหมดกระแสไฟฟ้า จากนั้นจึงค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เริ่มทำงาน และเมื่อมาถึงที่หมายก็สามารถเสียบปลั๊กชาจกระแสไฟฟ้าชดเชยในส่วนที่ถูกใช้ไปได้เหมือนกับรถยนต์แบบ PHEV ทั่วไป

ให้ความนุ่มนวลด้วยระบบช่วงล่างแบบอิสระพร้อมระบบปรับระดับความหนืดของโช้กอัพที่เรียกว่า Magnetic Ride Control ซึ่งระบบนี้จะทำการ ‘อ่านและวิเคราะห์’ สภาพพื้นผิวถนน ก่อนที่จะสั่งปรับความหนืดของโช้กอัพให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง ซึ่งการทำงานทั้งหมดของระบบใช้เวลาที่รวดเร็วมาก

แม้ทางจีเอ็มจะไม่มีการคอนเฟิร์มว่าผลิต แต่ข่าวส่วนใหญ่ฟันธงไปในลักษณะเดียวกันว่า มีขายแน่นอน และน่าจะมีผลิตออกมาภายในปี 2011 ส่วนเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่นั้น อีกไม่นานคงได้คำตอบกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น