ยืดยื้อกันมานานนับตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2009 ในที่สุดทางจีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ใจอ่อนยอมรับข้อเสนอของแบรนด์ซูเปอร์คาร์สัญชาติดัตช์อย่างสปายเกอร์ในการซื้อกิจการของซาบแล้ว โดยเชื่อว่าการเจรจาจะบรรลุผลภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ โดยทางสปายเกอร์จะต้องจ่ายเงินสดก้อนแรกเป็นจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1,750 ล้านบาท สำหรับการเทคโอเวอร์กิจการครั้งนี้
สำหรับรายละเอียดของการซื้อกิจการครั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของสัญญา โดยระบุเพียงว่า ทางสปายเกอร์จะต้องแบ่งจ่ายเงินที่เป็นมูลค่าของการซื้อครั้งนี้ หรือ Purchase Price 2 ก้อนรวมมูลค่า 74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 2,590 ล้านบาท ซึ่งก้อนแรกจะจ่ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และคาดว่าน่าจะเป็นวันของการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการของทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนอีกก้อนที่เหลือ 24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 840 ล้านบาท จะจ่ายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2010
อีกทั้งจีเอ็มจะได้หุ้นที่มีมูลค่า 326 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 11,400 ล้านบาทของบริษัทใหม่ที่ทางซาบและสปายเกอร์จะก่อตั้งขึ้นมาในชื่อ Saab Spyker Automobiles N.V. ขณะที่เงินกู้จำนวน 400 ล้านยูโร หรือ 20,000 ล้านบาทที่ทางซาบขอกู้ยืมทางธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรปและได้รับการรับรองผ่านทางรัฐบาลสวีเดน ทางรัฐบาลจะยังให้การรับรองต่อไป แต่ทางสหภาพยุโรปจะมีการพิจารณาเพื่ออนุมัติเงินก้อนนี้อีกครั้ง และอาจจะมีการก่อตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อบริหารการใช้เงินทุนก้อนนี้ให้มีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการประกาศรายละเอียดที่ชัดเจนของสัญญาในครั้งนี้อีกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องการโอนย้ายและถ่ายเทสินทรัพย์ระหว่างซาบกับจีเอ็ม รวมถึงข้อตกลงในด้านการพัฒนารถยนต์รุ่นต่างๆ ซึ่งทั้งซาบและบริษัทในเครือของจีเอ็มยังมีความเกี่ยวข้องกัน
หลังจากที่ทางโคนิกเซ็กก์ ผู้ผลิตซูเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน ล้มโต๊ะเจรจาการซื้อกิจการของซาบจากจีเอ็มเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางสปายเกอร์ได้เข้ามาเสียบแทนแทบจะในทันที แต่กลับดูเหมือนว่า ข้อเสนอของสปายเกอร์จะไม่มีความยั่วยวนเพียงพอในในการทำให้จีเอ็มจัดสินใจขายกิจการให้ จนต้องมีการยื่นข้อเสนอใหม่กันหลายรอบ
อีกทั้งในระหว่างนั้นยังมีคู่ปรับอย่างกลุ่มทุนที่สนับสนุนโดย Genii Captial ในลักเซมเบิร์กและนำโดยเบอร์นี แอคเคิลสโตน ผู้กุมสิทธิ์ทางด้านผลประโยชน์ของวงการฟอร์มูลา วัน เข้ามายื่นข้อเสนอแข่งกับทางสปายเกอร์ จนทำให้เรื่องมีความซับซ้อนมากขึ้น ก่อนที่สปายเกอร์จะยื่นข้อเสนอให้กับทางจีเอ็มพิจารณาอีกครั้งในช่วงหลังปีใหม่ และนำไปสู่ความสำเร็จในการเจรจาครั้งนี้ในที่สุด
ตอนนี้เรากำลังมองไปข้างหน้า ซึ่งเป็นการเดินร่วมกันระหว่างเรากับซาบ ซึ่งซาบถือเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีเอกลักษณ์รายหนึ่งในตลาดรถยนต์ และเรารู้สึกยินดีอย่างมากที่มีส่วนในการช่วยรักษางานและการใช้ชีวิตของพนักงานและคนงานของซาบจำนวนหลายพันคนในสวีเดน เช่นเดียวกับการช่วยรักษางานให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งดีลเลอร์ และซัพพลายเออร์ รวมถึงผู้ใช้รถยนต์ซาบมากกว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลก’วิคเตอร์ อาร์ มุลเลอร์ ซีอีโอของสปายเกอร์กล่าว
ทางด้าน แจน อาร์เก จอนส์สัน ซีอีโอของ Saab Automobile AB กล่าวว่า ‘ในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาของความท้าทายสำหรับซาบ และเราก็ต่อสู้จนกระทั่งผ่านพ้นวิกฤตนี้มาได้ ข้อตกลงกับทางสปายเกอร์จะช่วยสร้างความมั่นคงในอนาคตของซาบ และจะช่วยทำให้เราสามารถสร้างแบรนด์รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพในการนำเสนอผลผลิตที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับลูกค้าของเราทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง’
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าซาบจะรอดจากการถูกปิดแบรนด์แต่ทว่าบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าซาบยังไม่รอดพ้นจากจุดวิกฤต เพราะตัวสปายเกอร์เองที่เข้ามาซื้อกิจการก็ไม่ได้มีผลประกอบการที่ดีเท่าไร อย่างในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2009 สปายเกอร์ขาดทุน 8.7 ล้านยูโร หรือ 435 ล้านบาท ขณะที่ทางซาบเองก็ประสบปัญหาเรื่องผลประกอบการมาตลอด ในปี 2008 ขาดทุนไป 340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 11,900 ล้านบาท
นอกจากนั้นด้วยรูปแบบความแตกต่างของบริษัท ซึ่งสปายเกอร์เป็นแบรนด์ซูเปอร์คาร์ที่มียอดการผลิตเพียงหลักครึ่งร้อยคันต่อปีจะสามารถบริหารงานบริษัทรถยนต์ที่มียอดการผลิตในระดับ 100,000 คันต่อปีได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน ตรงนี้ยังเป็นอีกปัญหาที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอาจจะเกิดขึ้นกับซาบในอนาคต
