ขณะที่บ้านเรายังเพิ่งเริ่มทำตลาดด้วยตัวถังซีดานและคูเป้ในแบบนำเข้าหรือ CBU กันอยู่ ในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกากำลังจะมีโอกาสได้สัมผัสกับตัวถังใหม่ของอี-คลาส W212 กันแล้ว ด้วยรุ่นเปิดประทุน 4 ที่นั่งสุดหรูซึ่งเพียบพร้อมด้วยความสะดวกสบายและความล้ำสมัยตามสไตล์อี-คลาส
รุ่นเปิดประทุน หรือ Cabriolet เป็นตัวถังที่ 4 ของอี-คลาส W212 ต่อจากซีดาน คูเป้ และสเตชันแวกอน ซึ่งคราวนี้อี-คลาสไม่ได้เดินตามรอยรถสปอร์ตเปิดประทุนส่วนใหญ่ที่มักจะมากับหลังคาแข็งพับได้ แต่เลือกที่จะใช้หลังคาอ่อนเหมือนเดิม และควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้าซึ่งใช้เวลา 20 วินาทีในการกางออกหรือพับเก็บ และสามารถสั่งให้กางออกหรือพับเก็บได้เมื่อขับด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายจะมีความจุ 390 ลิตรเมื่อหลังคาถูกกางออก และจะลดลง 90 ลิตรเมื่อหลังคาอ่อนถูกพับเก็บลงมา
ตัวรถแชร์พื้นฐานกับรุ่นสปอร์ตคูเป้ แต่ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถัง ขณะที่ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน หรือ Cd เพิ่มขึ้นจาก 0.24 ในรุ่นคูเป้ และ 0.25 ในรุ่นซีดานมาเป็น 0.28 ในรุ่นเปิดประทุน
นับจากปี 1989 ที่มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาติดตั้งในรถสปอร์ตเปิดประทุนซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรุ่นท็อปอย่างสายพันธุ์ SL-Class แต่คราวนี้จะเป็นครั้งแรกที่สปอร์ตเปิดประทุนรุ่นรองๆ ลงมาจาก SL-Class จะได้ติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นครั้งแรกกันบ้าง
ซึ่งกับอี-คลาส เปิดประทุนใหม่จะมากับ AIRCAP ซึ่งเป็นระบบที่สามารถเปิด-ปิดได้ผ่านทางปุ่มควบคุม เพื่อลดสภาพอากาศที่หมุนวนและปั่นป่วนซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เปิดประทุนแล่น โดยจะทำงานทันทีในขณะที่แล่นด้วยความเร็วไม่เกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนั้นที่บริเวณด้านหลังของเบาะนั่งด้านหลังจะมีคานเหล็กซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 35 มิลลิเมตรทำหน้าที่เป็น Roll-Over Protection ป้องกันอันตรายให้กับศีรษะในขณะที่รถเกิดพลิกคว่ำ ส่วนระบบ PRE SAFE มีติดตั้งให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเหมือนกับอี-คลาสตัวถังอื่นๆ
ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่มีขายไม่แตกต่างจากอี-คลาส คูเป้ เริ่มจาก E250CGI BlueEfficiency แบบ 4 สูบ 1,800 ซีซี เทอร์โบ พร้อมระบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน 204 แรงม้า ตามด้วย E350CGI BlueEfficiency แบบวี6 3,500 ซีซี 292 แรงม้า และ E500 เครื่องยนต์วี8 5,500 ซีซี 388 แรงม้า ส่วนเทอร์โบดีเซลมีทั้งรุ่น E200CDI BlueEfficiency 136 แรงม้า ตามด้วย E250CDI BlueEfficiency แบบ 4 สูบ 2,200 ซีซี 204 แรงม้า และ E350CDI BlueEfficiency วี6 3,000 ซีซี 231 แรงม้า ส่งกำลังทั้งแบบอัตโนมัติ 5 จังหวะ และ 7 จังหวะในแบบ 7G-Tronic
สำหรับรุ่นตัวแรง E63AMG มีขายแน่นอนแต่คงต้องรอจากรุ่นธรรมดาทำตลาดสักระยหนึ่งก่อน โดยจะมากับเครื่องยนต์วี8 6,200 ซีซี 525 แรงม้า ส่วนระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบล้อหลัง และ 4 ล้อตลอดเวลารุ่น 4MATIC ที่เพิ่งเปิดตัวขายกับอี-คลาสใหม่ไม่นานนี้
การเปิดตัวคาดว่าน่าจะมีขึ้นครั้งแรกในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 ซึ่งจะเริ่มรอบสื่อมวลชน 11-12 มกราคมนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนการส่งมอบจะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้ากับราคาที่ยังไม่เปิดเผย