ปล่อยให้คู่ปรับอย่างบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสออกอาละวาดในตลาดรถยนต์ระดับหรูกันมานาน ในที่สุด ทางออดี้ก็ขยับตัวเผยโฉมโมเดลเชนจ์ของเอ8 ออกมาแล้ว พร้อมความสวยและสปอร์ตตามแบบฉบับความแรงของผู้บริหารหัวใจสปอร์ต โดยจะเริ่มขายในยุโรปช่วงต้นปีหน้า
รุ่นใหม่นี้ถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ของเอ8 นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1994 และมีจุดเด่นในเรื่องของโครง สร้างตัวถังอะลูมิเนียม หรือ AFS-Audi Space Frame ซึ่งในปัจจุบันโครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียมถูกนำมาใช้ในรถยนต์หลายรุ่นของออดี้ที่มีอยู่ในตลาด
หลังประสบความสำเร็จในเรื่องการออกแบบในรุ่นที่แล้วที่พลิกแนวคิดโดยหันมาเน้นตัวถังที่มีเส้นสายของความสปอร์ต ในรุ่นใหม่ออดี้ยังเดินตามแนวทางนี้ เพื่อผสมผสานความหรูหราและความโฉบเฉี่ยวให้เข้ากันอย่างลงตัวด้วยค่าสัมประสิทธิแรงต้าน หรือ Cd เพียง 0.26 และมีน้ำหนักตัวลดลงจากรุ่นเดิมอีก 25% โดยมิติตัวถังมีขยายสัดส่วนด้วยความยาวที่เพิ่มเป็น 5,137 มิลลิเมตร กว้าง 1,949 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,992 มิลลิเมตร ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถรองรับกับความจุในระดับ 510 ลิตร สามารถรองรับถุงกอล์ฟได้ 4 ถุง
ความโดดเด่นของตัวรถอยู่ที่ไฟหน้าซึ่งได้รับการออกแบบให้ดูสวยและสปอร์ตพร้อมกับนำไฟแบบ LED มาใช้เป็น Day Time Light โดยนำ LED สีเหลืองและสีขาวอย่างละ 22 ดวงวางซ้อนกัน และเป็นแนวคล้ายกับชุดไฟที่ใช้อยู่ในซูเปอร์คาร์รุ่น R8 ขณะที่ภายในห้องโดยสารเน้นความหรู และเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกซึ่งสามารถสั่งผ่านปุ่มศูนย์กลางควบคุมหรือ MMI ของตัวรถ
ในช่วงแรกมี 3 ทางเลือกของเครื่องยนต์แต่เน้นไปที่เทอร์โบดีเซล เพราะมีถึง 2 รุ่น เริ่มจากวี6 3,000 ซีซีที่มีกำลัง 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 56.0 กก.-ม. ตามด้วยวี8 4,200 ซีซี 350 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 81.5 กก.-ม. ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.5 วินาที และเบนซิน วี8 4,200 ซีซีแบบไดเร็กต์อินเจ็กชันหรือ FSI เพียงแบบเดียวเท่านั้น
ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงจากรุ่นเดิม 15% มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 372 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 45.3 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.7 วินาที และความเร็วปลายโดนล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะสู่การขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบควอตโตร ส่วนในปี 2010 จะมีการเพิ่มอีกทางเลือก แต่ก็เป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลอีกเช่นเคย มาในแบบวี6 3,000 ซีซี แต่มี 204 แรงม้า และขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า
ปีหน้าจะเริ่มมีการส่งมอบโดยในอังกฤษ ออดี้ตั้งราคาเอาไว้ระหว่าง 54,760-63,690 ปอนด์ หรือ 3.01-3.5 ล้านบาท
รุ่นใหม่นี้ถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ของเอ8 นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1994 และมีจุดเด่นในเรื่องของโครง สร้างตัวถังอะลูมิเนียม หรือ AFS-Audi Space Frame ซึ่งในปัจจุบันโครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียมถูกนำมาใช้ในรถยนต์หลายรุ่นของออดี้ที่มีอยู่ในตลาด
หลังประสบความสำเร็จในเรื่องการออกแบบในรุ่นที่แล้วที่พลิกแนวคิดโดยหันมาเน้นตัวถังที่มีเส้นสายของความสปอร์ต ในรุ่นใหม่ออดี้ยังเดินตามแนวทางนี้ เพื่อผสมผสานความหรูหราและความโฉบเฉี่ยวให้เข้ากันอย่างลงตัวด้วยค่าสัมประสิทธิแรงต้าน หรือ Cd เพียง 0.26 และมีน้ำหนักตัวลดลงจากรุ่นเดิมอีก 25% โดยมิติตัวถังมีขยายสัดส่วนด้วยความยาวที่เพิ่มเป็น 5,137 มิลลิเมตร กว้าง 1,949 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,992 มิลลิเมตร ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถรองรับกับความจุในระดับ 510 ลิตร สามารถรองรับถุงกอล์ฟได้ 4 ถุง
ความโดดเด่นของตัวรถอยู่ที่ไฟหน้าซึ่งได้รับการออกแบบให้ดูสวยและสปอร์ตพร้อมกับนำไฟแบบ LED มาใช้เป็น Day Time Light โดยนำ LED สีเหลืองและสีขาวอย่างละ 22 ดวงวางซ้อนกัน และเป็นแนวคล้ายกับชุดไฟที่ใช้อยู่ในซูเปอร์คาร์รุ่น R8 ขณะที่ภายในห้องโดยสารเน้นความหรู และเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกซึ่งสามารถสั่งผ่านปุ่มศูนย์กลางควบคุมหรือ MMI ของตัวรถ
ในช่วงแรกมี 3 ทางเลือกของเครื่องยนต์แต่เน้นไปที่เทอร์โบดีเซล เพราะมีถึง 2 รุ่น เริ่มจากวี6 3,000 ซีซีที่มีกำลัง 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 56.0 กก.-ม. ตามด้วยวี8 4,200 ซีซี 350 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 81.5 กก.-ม. ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.5 วินาที และเบนซิน วี8 4,200 ซีซีแบบไดเร็กต์อินเจ็กชันหรือ FSI เพียงแบบเดียวเท่านั้น
ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงจากรุ่นเดิม 15% มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 372 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 45.3 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.7 วินาที และความเร็วปลายโดนล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะสู่การขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบควอตโตร ส่วนในปี 2010 จะมีการเพิ่มอีกทางเลือก แต่ก็เป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลอีกเช่นเคย มาในแบบวี6 3,000 ซีซี แต่มี 204 แรงม้า และขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า
ปีหน้าจะเริ่มมีการส่งมอบโดยในอังกฤษ ออดี้ตั้งราคาเอาไว้ระหว่าง 54,760-63,690 ปอนด์ หรือ 3.01-3.5 ล้านบาท
