ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต
ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก วิทยาลัยสื่อสารการเมือง
มหาวิทยาลัยเกริก
การฉลองครบรอบของสาธารณรัฐประชาชนจีน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของจีนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ของระบบการปกครองและของผู้นำที่มีความสามารถอย่างยิ่งยวดที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเป็นที่กล่าวขวัญของโลก สถานะของจีนในระหว่างประเทศกลายเป็นมหาอำนาจเพียงข้ามคืน จนหลายประเทศในโลกจับตามองจีนอย่างใจจดใจจ่อ และต่างยอมรับว่ามหาอำนาจใหม่ที่เกิดขึ้นนี้สอดคล้องกับที่นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยกล่าวว่า “จงปล่อยให้จีนหลับ เพราะเมื่อจีนตื่นขึ้นโลกจะสั่นสะเทือน” ศตวรรษที่ 21 จะเป็นศตวรรษที่จีนมีบทบาทสำคัญในการเมืองระหว่างประเทศ และในเศรษฐกิจโลก และไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของจีนได้
แต่ในท่ามกลางความสำเร็จนั้นจีนก็ต้องเผชิญปัญหาต่างๆ หลายด้านด้วยกัน ทั้งในทางการเมือง อันได้แก่ การมีอำนาจเกินเลยของพรรคคอมมิวนิสต์ ปัญหาทางเศรษฐกิจที่ขาดดุลยภาพ และปัญหาทางสังคมที่นำไปสู่การเกิดของชนชั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ขณะเดียวกันก็ยังมีแรงกดดันจากนอกประเทศที่อยากเห็นจีนปล่อยเสรีทางการเมืองมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ปัญหาหลักของจีนในขณะนี้คือการพัฒนาสองแนวทางจากคนสองกลุ่ม และการเสียดุลระหว่างภูมิภาค รวมทั้งความเหลื่อมล้ำของผู้มีรายได้สูงกับผู้มีรายได้ต่ำ
ผู้นำจีนในปัจจุบันที่เติบโตมาจากการเป็นสมาชิกพรรค และมีบทบาทในการบริหารประเทศ แบ่งได้อย่างกว้างๆ เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีลักษณะอนุรักษนิยม แม้จะมีความเป็นเสรีนิยมในการพัฒนาประเทศก็ตาม กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการพัฒนาไปอย่างมั่นคงไม่รวดเร็วเกินไป มีการให้น้ำหนักกับการกระจายความเจริญไปให้กับคนยากจน พร้อมๆ กับการพัฒนาที่ต้องตามทันเศรษฐกิจโลก มีการให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพแวดล้อม และการสร้างดุลยภาพระหว่างนาครและชนบท
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่กลุ่มซึ่งเป็นลูกหลานของสมาชิกพรรคระดับสูง ถือได้ว่าเป็นกลุ่มผู้นำใหม่ที่เป็นคนรุ่นหนุ่มกว่า ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Princeling (หมายถึงผู้ปกครองแคว้นเล็กๆ) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมและข่าวสารข้อมูลให้เจริญก้าวหน้าทันโลก มุ่งเน้นการส่งออก และการทำรายได้ให้แก่ประเทศ ไม่ค่อยให้น้ำหนักกับรักษาสภาพแวดล้อม หรือคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจน ความแตกต่างของกลุ่มนี้กับกลุ่มแรกก็คือประเด็นความแตกต่างที่อาจจะขยายวงออกไปในอนาคต กลุ่มแรกนั้นเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มประชานิยม (populist) ส่วนกลุ่มหลังเป็นกลุ่มผู้นำใหม่ที่มีลักษณะเป็นชนชั้นสูง (elite)
นอกจากความคิดการพัฒนาในสองแนวทางที่แตกต่างกันนั้น ยังมีการเน้นถึงความสำคัญของการมีดุลยภาพในการพัฒนาที่แตกต่างกัน ในกลุ่มที่เป็นกลุ่มประชานิยมมองเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาเขตที่อยู่ทางตอนบนของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคตะวันตกแถบเสฉวน เมืองโฉงชิ่ง หรือจุงกิง ซึ่งยังยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมณฑลที่อยู่ทางเหนือ เนื่องจากมณฑลที่อยู่ทางฝั่งทะเลหรือใต้แม่น้ำแยงซีนั้นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่การเสียดลุระหว่างสองภาค คือภาคตะวันตกและภาคทางใต้มายังฝั่งทะเล
แต่กลุ่มผู้นำหรือ elite ไม่ให้น้ำหนักกับประเด็นดังกล่าว โดยความเชื่อที่ว่าความเจริญย่อมเกิดขึ้นเป็นหย่อมหรือพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ความแตกต่างดังกล่าวนี้คือความแตกต่างในแบบแผนของการพัฒนาที่มุ่งเน้นการกระจายความเจริญ หรือการมุ่งเอาจุดที่สามารถจะเจริญได้อย่างเต็มที่เพราะศักยภาพที่เหนือกว่า
ความแตกต่างของคนสองกลุ่มยังอยู่ที่การมองสังคมจีน ในขณะที่กลุ่มประชานิยมยังมีแนวโน้มไปทางสังคมนิยมที่จะต้องนำมาซึ่งความยุติธรรมทางสังคมไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำจนเกินไป เพราะการพัฒนาในขณะนี้นั้นเปิดโอกาสให้ประชาชนมีการศึกษาอย่างเต็มที่ แต่ลูกหลานของคนที่ร่ำรวยอันเนื่องจากเป็นลูกหลานของข้าราชการระดับสูง หรือนักธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีโอกาสรับการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นดีของประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่คนยากจนหมดโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปีละหลายล้านคนเนื่องจากมีที่เรียนจำกัด และมีอีกจำนวนไม่น้อยยังหาที่เรียนไม่ได้เนื่องจากขาดเส้นสาย เพราะสังคมจีนในปัจจุบันก็เป็นสังคมที่มีความเกี่ยวโยงกับการมีเส้นสายซึ่งมีความสำคัญต่อการเข้าเรียนและสมัครงาน การมีเส้นสายโยงใยกับคนระดับสูงย่อมเป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นลักษณะของระบบอุปถัมภ์ที่เคยมีมาในอดีต และประเด็นที่สำคัญก็คือ ลูกหลานของคนยากจนมีโอกาสน้อยกว่าในการสมัครงานก็เสีย
เปรียบลูกหลานของคนที่เป็นกลุ่ม elite
แนวการพัฒนาของจีนจึงเป็นสองแนวทางของคนสองกลุ่ม รวมทั้งมีแนวทางที่มีจุดเน้นต่างกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายไปทางใดจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการพินิจพิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงผู้จะเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจและจุดยืนทางการเมืองของบุคคลดังกล่าวในอนาคต ในขณะนี้ทั้งนายหู จิ่นเทา และเหวิน เจียเป่า เดินตามแนวของกลุ่มประชานิยม ส่วนบุคคลอื่นที่อยู่ในกลุ่มผู้นำนั้นยังไม่ได้มีโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งอำนาจสูงสุดซึ่งจะต้องคอยติดตามต่อไป
ความขัดแย้งสองแนวทางดังกล่าวนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ แม้ในสมัยของเหมา เจ๋อตุง ก็มีความขัดแย้งระหว่างของเหมา และหลิว เส้าฉี และเติ้ง เสี่ยวผิง ต่อมาก็มีความขัดแย้งระหว่างหู เย่าปัง ซึ่งนายจ้าว จื่อหยาง ถือเป็นแนวทางกับกลุ่มของนายจาง เจ๋อหมิน หลี่เผิง และหลี่ เสี่ยนเนียน จนมีส่วนในระดับหนึ่งนำไปสู่การเกิดเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นตัวแปรสำคัญที่สุด เพราะสนับสนุนฝ่ายนายหลี่ เสี่ยนเนียน หลี่เผิง และจาง เจ๋อหมิน
แต่ข้อสังเกตก็คือ ความขัดแย้งในอดีตมักจะเกิดขึ้นจากตัวบุคคลมากกว่าประเด็นความขัดแย้ง แต่ปัจจุบันเป็นประเด็นความขัดแย้งและความแตกต่างของแนวทางการพัฒนาระหว่างกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่างกันมากกว่าบุคลิกของปัจเจกบุคคล จึงถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ราชบัณฑิต
ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก วิทยาลัยสื่อสารการเมือง
มหาวิทยาลัยเกริก
การฉลองครบรอบของสาธารณรัฐประชาชนจีน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของจีนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ของระบบการปกครองและของผู้นำที่มีความสามารถอย่างยิ่งยวดที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเป็นที่กล่าวขวัญของโลก สถานะของจีนในระหว่างประเทศกลายเป็นมหาอำนาจเพียงข้ามคืน จนหลายประเทศในโลกจับตามองจีนอย่างใจจดใจจ่อ และต่างยอมรับว่ามหาอำนาจใหม่ที่เกิดขึ้นนี้สอดคล้องกับที่นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยกล่าวว่า “จงปล่อยให้จีนหลับ เพราะเมื่อจีนตื่นขึ้นโลกจะสั่นสะเทือน” ศตวรรษที่ 21 จะเป็นศตวรรษที่จีนมีบทบาทสำคัญในการเมืองระหว่างประเทศ และในเศรษฐกิจโลก และไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของจีนได้
แต่ในท่ามกลางความสำเร็จนั้นจีนก็ต้องเผชิญปัญหาต่างๆ หลายด้านด้วยกัน ทั้งในทางการเมือง อันได้แก่ การมีอำนาจเกินเลยของพรรคคอมมิวนิสต์ ปัญหาทางเศรษฐกิจที่ขาดดุลยภาพ และปัญหาทางสังคมที่นำไปสู่การเกิดของชนชั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ขณะเดียวกันก็ยังมีแรงกดดันจากนอกประเทศที่อยากเห็นจีนปล่อยเสรีทางการเมืองมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ปัญหาหลักของจีนในขณะนี้คือการพัฒนาสองแนวทางจากคนสองกลุ่ม และการเสียดุลระหว่างภูมิภาค รวมทั้งความเหลื่อมล้ำของผู้มีรายได้สูงกับผู้มีรายได้ต่ำ
ผู้นำจีนในปัจจุบันที่เติบโตมาจากการเป็นสมาชิกพรรค และมีบทบาทในการบริหารประเทศ แบ่งได้อย่างกว้างๆ เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีลักษณะอนุรักษนิยม แม้จะมีความเป็นเสรีนิยมในการพัฒนาประเทศก็ตาม กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการพัฒนาไปอย่างมั่นคงไม่รวดเร็วเกินไป มีการให้น้ำหนักกับการกระจายความเจริญไปให้กับคนยากจน พร้อมๆ กับการพัฒนาที่ต้องตามทันเศรษฐกิจโลก มีการให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพแวดล้อม และการสร้างดุลยภาพระหว่างนาครและชนบท
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่กลุ่มซึ่งเป็นลูกหลานของสมาชิกพรรคระดับสูง ถือได้ว่าเป็นกลุ่มผู้นำใหม่ที่เป็นคนรุ่นหนุ่มกว่า ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Princeling (หมายถึงผู้ปกครองแคว้นเล็กๆ) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมและข่าวสารข้อมูลให้เจริญก้าวหน้าทันโลก มุ่งเน้นการส่งออก และการทำรายได้ให้แก่ประเทศ ไม่ค่อยให้น้ำหนักกับรักษาสภาพแวดล้อม หรือคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจน ความแตกต่างของกลุ่มนี้กับกลุ่มแรกก็คือประเด็นความแตกต่างที่อาจจะขยายวงออกไปในอนาคต กลุ่มแรกนั้นเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มประชานิยม (populist) ส่วนกลุ่มหลังเป็นกลุ่มผู้นำใหม่ที่มีลักษณะเป็นชนชั้นสูง (elite)
นอกจากความคิดการพัฒนาในสองแนวทางที่แตกต่างกันนั้น ยังมีการเน้นถึงความสำคัญของการมีดุลยภาพในการพัฒนาที่แตกต่างกัน ในกลุ่มที่เป็นกลุ่มประชานิยมมองเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาเขตที่อยู่ทางตอนบนของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคตะวันตกแถบเสฉวน เมืองโฉงชิ่ง หรือจุงกิง ซึ่งยังยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมณฑลที่อยู่ทางเหนือ เนื่องจากมณฑลที่อยู่ทางฝั่งทะเลหรือใต้แม่น้ำแยงซีนั้นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่การเสียดลุระหว่างสองภาค คือภาคตะวันตกและภาคทางใต้มายังฝั่งทะเล
แต่กลุ่มผู้นำหรือ elite ไม่ให้น้ำหนักกับประเด็นดังกล่าว โดยความเชื่อที่ว่าความเจริญย่อมเกิดขึ้นเป็นหย่อมหรือพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ความแตกต่างดังกล่าวนี้คือความแตกต่างในแบบแผนของการพัฒนาที่มุ่งเน้นการกระจายความเจริญ หรือการมุ่งเอาจุดที่สามารถจะเจริญได้อย่างเต็มที่เพราะศักยภาพที่เหนือกว่า
ความแตกต่างของคนสองกลุ่มยังอยู่ที่การมองสังคมจีน ในขณะที่กลุ่มประชานิยมยังมีแนวโน้มไปทางสังคมนิยมที่จะต้องนำมาซึ่งความยุติธรรมทางสังคมไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำจนเกินไป เพราะการพัฒนาในขณะนี้นั้นเปิดโอกาสให้ประชาชนมีการศึกษาอย่างเต็มที่ แต่ลูกหลานของคนที่ร่ำรวยอันเนื่องจากเป็นลูกหลานของข้าราชการระดับสูง หรือนักธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีโอกาสรับการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นดีของประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่คนยากจนหมดโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปีละหลายล้านคนเนื่องจากมีที่เรียนจำกัด และมีอีกจำนวนไม่น้อยยังหาที่เรียนไม่ได้เนื่องจากขาดเส้นสาย เพราะสังคมจีนในปัจจุบันก็เป็นสังคมที่มีความเกี่ยวโยงกับการมีเส้นสายซึ่งมีความสำคัญต่อการเข้าเรียนและสมัครงาน การมีเส้นสายโยงใยกับคนระดับสูงย่อมเป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นลักษณะของระบบอุปถัมภ์ที่เคยมีมาในอดีต และประเด็นที่สำคัญก็คือ ลูกหลานของคนยากจนมีโอกาสน้อยกว่าในการสมัครงานก็เสีย
เปรียบลูกหลานของคนที่เป็นกลุ่ม elite
แนวการพัฒนาของจีนจึงเป็นสองแนวทางของคนสองกลุ่ม รวมทั้งมีแนวทางที่มีจุดเน้นต่างกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายไปทางใดจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการพินิจพิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงผู้จะเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจและจุดยืนทางการเมืองของบุคคลดังกล่าวในอนาคต ในขณะนี้ทั้งนายหู จิ่นเทา และเหวิน เจียเป่า เดินตามแนวของกลุ่มประชานิยม ส่วนบุคคลอื่นที่อยู่ในกลุ่มผู้นำนั้นยังไม่ได้มีโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งอำนาจสูงสุดซึ่งจะต้องคอยติดตามต่อไป
ความขัดแย้งสองแนวทางดังกล่าวนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ แม้ในสมัยของเหมา เจ๋อตุง ก็มีความขัดแย้งระหว่างของเหมา และหลิว เส้าฉี และเติ้ง เสี่ยวผิง ต่อมาก็มีความขัดแย้งระหว่างหู เย่าปัง ซึ่งนายจ้าว จื่อหยาง ถือเป็นแนวทางกับกลุ่มของนายจาง เจ๋อหมิน หลี่เผิง และหลี่ เสี่ยนเนียน จนมีส่วนในระดับหนึ่งนำไปสู่การเกิดเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นตัวแปรสำคัญที่สุด เพราะสนับสนุนฝ่ายนายหลี่ เสี่ยนเนียน หลี่เผิง และจาง เจ๋อหมิน
แต่ข้อสังเกตก็คือ ความขัดแย้งในอดีตมักจะเกิดขึ้นจากตัวบุคคลมากกว่าประเด็นความขัดแย้ง แต่ปัจจุบันเป็นประเด็นความขัดแย้งและความแตกต่างของแนวทางการพัฒนาระหว่างกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่างกันมากกว่าบุคลิกของปัจเจกบุคคล จึงถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง