ก่อนที่จะถึงจุดสิ้นสุดในการผลิตสำหรับสายพันธุ์นี้ ทางด้านดอดจ์จัดการทิ้งทวนให้กับอเมริกัน มัสเซิลคาร์รุ่นดังอย่างไวเปอร์อีกครั้ง ด้วยการผลิตเวอร์ชันพิเศษสำหรับเอาใจนักแข่งด้วยชื่อ ACR-X กับการปรับสเปกของตัวรถให้สอดคล้องกับกฎเพื่อพร้อมสำหรับลงแข่งรายการ Dodge Viper Cup Series หรือรายการของ SCAA-Sports Car Club of America และ NASA-National Auto Sport Association และการส่งมอบรถจะเริ่มขึ้นในช่วงกลางปีหน้า
ACR-X เป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากเวอร์ชัน ACR ที่ดอดจ์เปิดตัวปี 2009 งานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ เมื่อต้นปี โดย ACR เป็นตัวย่อมาจาก American Club Race และเวอร์ชันนี้ก็ได้รับการปรับเซ็นตัวรถให้สามารถใช้งานได้ทั้งบนถนนและในสนามแข่ง
ในรหัส X เป็นเวอร์ชันแข่ง และมีการพัฒนาบนพื้นฐานของ ACR โดยเพิ่มเรี่ยวแรงให้กับเครื่องยนต์วี10 ที่มีความจุ 8,400 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน ด้วยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้า ทำให้มีกำลังขยับขึ้นมาเป็น 640 แรงม้า ซึ่งรายละเอียดการปรับปรุงหลักๆ ทางดอดจ์เผยว่ามีการเปลี่ยนเฮดเดอร์ชุดใหม่ และใช้ชุดท่อไอเสียรวมถึงปรับปรุงระบบที่เกี่ยวข้องกับการคายไอเสียให้มีอาการอั้นในการระบายไอเสียให้เหลือน้อยลง
Ralph Gilles ประธานและซีอีโอของดอดจ์ เผยว่า ‘เวอร์ชัน ACR-X คือ รถแข่งที่มีราคาไม่แพงจนเกินไปสำหรับตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการเริ่มต้นการเป็นนักแข่งอาชีพ ซึ่งโปรเจ็กต์นี้เป็นการทำงานร่วมกันนานหลายปีกับทีมงานจาก SRT เพื่อให้ไวเปอร์เป็นรถแข่งที่สามารถเผชิญหน้ากับทุกสนามแข่งทั่วโลก’
ตัวรถใช้พื้นฐานของรุ่น SRT-10 คูเป้ พร้อมกับมีการตีโรลล์บาร์รอบคันเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยในการแข่งขัน พร้อมกับติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในสนามแข่ง ซึ่งผู้ที่ซื้อไปสามารถถอดออกหรือติดตั้งเพิ่มเติมตามความต้องการได้ ส่วนน้ำหนักของตัวรถก็ลดลงจากไวเปอร์รุ่นธรรมดา 160 ปอนด์ หรือ 72.7 กิโลกรัม ส่วนชุดแอโรพาร์ตรอบคันได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสนามแข่ง ทั้งการสร้างแรงกดขณะเข้าโค้งและการเพิ่มการทรงตัวที่ดีเวลาแล่นด้วยความเร็วสูง
ก่อนหน้านี้ทางด้านดอดจ์นำ ACR-X ออกเผยโฉมในสนามแข่งลากูน่า เซก้าในมอนเทอเรย์ และ Kuno Wittmer นักแข่งอาชีพที่เข้าร่วมรายการทัวริงคาร์ SCAA Pro Series Speed World ก็สามารถขับทำเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 31 วินาที บนสนามที่มีโค้งมากถึง 11 แห่ง และมีระยะทางต่อรอบ 2.238 ไมล์ หรือ 3.6 กิโลเมตร
นอกจากนั้นทางด้านดอดจ์เผยว่า ACR-X น่าจะเป็นเวอร์ชันสุดท้ายของไวเปอร์ที่ถูกผลิตออกมาขายในแบบลิมิเต็ด เอดิชัน ก่อนที่ตัวรถจะยุติการผลิตปี 2010 ซึ่งตอนแรกจากความวุ่นวายของการเปลี่ยนมือผู้บริหารกิจการก่อนที่เฟียตจะเข้ามาจัดการการบริหารของไครสเลอร์ บริษัทแม่ของดอดจ์นั้น ไวเปอร์กำลังจะถูกขายลิขสิทธิ์ในการผลิตไปให้กับเอกชนรายหนึ่ง
แต่สุดท้ายทางเฟียตก็เบรกแผนการนี้เอาไว้ และเดินเรื่องในการรักษาสิทธิ์ตรงนี้เอาไว้ โดยรถสปอร์ตรุ่นใหม่ที่จะเป็นตัวแทนในการทำตลาดพร้อมเผยโฉมในปี 2012 แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะใช้ชื่อไวเปอร์ในการทำตลาดเหมือนเดิมหรือไม่
สำหรับราคาของ ACR-X ถูกตั้งเอาไว้ที่ 110,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 3.85 ล้านบาท ใครอยากขับก็เตรียมเงินเอาไว้ก่อน เพราะกว่าจะเริ่มส่งมอบได้ต้องรอจนถึงกลางปี 2010 โน่น
ACR-X เป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากเวอร์ชัน ACR ที่ดอดจ์เปิดตัวปี 2009 งานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ เมื่อต้นปี โดย ACR เป็นตัวย่อมาจาก American Club Race และเวอร์ชันนี้ก็ได้รับการปรับเซ็นตัวรถให้สามารถใช้งานได้ทั้งบนถนนและในสนามแข่ง
ในรหัส X เป็นเวอร์ชันแข่ง และมีการพัฒนาบนพื้นฐานของ ACR โดยเพิ่มเรี่ยวแรงให้กับเครื่องยนต์วี10 ที่มีความจุ 8,400 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน ด้วยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้า ทำให้มีกำลังขยับขึ้นมาเป็น 640 แรงม้า ซึ่งรายละเอียดการปรับปรุงหลักๆ ทางดอดจ์เผยว่ามีการเปลี่ยนเฮดเดอร์ชุดใหม่ และใช้ชุดท่อไอเสียรวมถึงปรับปรุงระบบที่เกี่ยวข้องกับการคายไอเสียให้มีอาการอั้นในการระบายไอเสียให้เหลือน้อยลง
Ralph Gilles ประธานและซีอีโอของดอดจ์ เผยว่า ‘เวอร์ชัน ACR-X คือ รถแข่งที่มีราคาไม่แพงจนเกินไปสำหรับตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการเริ่มต้นการเป็นนักแข่งอาชีพ ซึ่งโปรเจ็กต์นี้เป็นการทำงานร่วมกันนานหลายปีกับทีมงานจาก SRT เพื่อให้ไวเปอร์เป็นรถแข่งที่สามารถเผชิญหน้ากับทุกสนามแข่งทั่วโลก’
ตัวรถใช้พื้นฐานของรุ่น SRT-10 คูเป้ พร้อมกับมีการตีโรลล์บาร์รอบคันเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยในการแข่งขัน พร้อมกับติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในสนามแข่ง ซึ่งผู้ที่ซื้อไปสามารถถอดออกหรือติดตั้งเพิ่มเติมตามความต้องการได้ ส่วนน้ำหนักของตัวรถก็ลดลงจากไวเปอร์รุ่นธรรมดา 160 ปอนด์ หรือ 72.7 กิโลกรัม ส่วนชุดแอโรพาร์ตรอบคันได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสนามแข่ง ทั้งการสร้างแรงกดขณะเข้าโค้งและการเพิ่มการทรงตัวที่ดีเวลาแล่นด้วยความเร็วสูง
ก่อนหน้านี้ทางด้านดอดจ์นำ ACR-X ออกเผยโฉมในสนามแข่งลากูน่า เซก้าในมอนเทอเรย์ และ Kuno Wittmer นักแข่งอาชีพที่เข้าร่วมรายการทัวริงคาร์ SCAA Pro Series Speed World ก็สามารถขับทำเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 31 วินาที บนสนามที่มีโค้งมากถึง 11 แห่ง และมีระยะทางต่อรอบ 2.238 ไมล์ หรือ 3.6 กิโลเมตร
นอกจากนั้นทางด้านดอดจ์เผยว่า ACR-X น่าจะเป็นเวอร์ชันสุดท้ายของไวเปอร์ที่ถูกผลิตออกมาขายในแบบลิมิเต็ด เอดิชัน ก่อนที่ตัวรถจะยุติการผลิตปี 2010 ซึ่งตอนแรกจากความวุ่นวายของการเปลี่ยนมือผู้บริหารกิจการก่อนที่เฟียตจะเข้ามาจัดการการบริหารของไครสเลอร์ บริษัทแม่ของดอดจ์นั้น ไวเปอร์กำลังจะถูกขายลิขสิทธิ์ในการผลิตไปให้กับเอกชนรายหนึ่ง
แต่สุดท้ายทางเฟียตก็เบรกแผนการนี้เอาไว้ และเดินเรื่องในการรักษาสิทธิ์ตรงนี้เอาไว้ โดยรถสปอร์ตรุ่นใหม่ที่จะเป็นตัวแทนในการทำตลาดพร้อมเผยโฉมในปี 2012 แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะใช้ชื่อไวเปอร์ในการทำตลาดเหมือนเดิมหรือไม่
สำหรับราคาของ ACR-X ถูกตั้งเอาไว้ที่ 110,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 3.85 ล้านบาท ใครอยากขับก็เตรียมเงินเอาไว้ก่อน เพราะกว่าจะเริ่มส่งมอบได้ต้องรอจนถึงกลางปี 2010 โน่น