“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” สัมภาษณ์ ประกาสิทธิ์ พรประภา รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามกลการอะไหล่ จำกัด (SMP) บริษัท ในกลุ่มสยามกลการ(SM) ผู้จำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ และรถตักหน้าขุดหลังเจซีบีในประเทศไทย ถึงสถานการณ์ของบริษัทในปีนี้และทิศทางในอนาคต
- สรุปภาพรวมปีนี้
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จะชะลอตัว แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มพีมากนัก เพราะธุรกิจหลักจะเป็นสินค้าพวกอะไหล่ทดแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนทดแทนชิ้นส่วนที่เสียหายไปทันที ดังนั้นคาดว่าถึงสิ้นปี 2552ภาพรวมรายได้ของเอสเอ็มพี น่าจะอยู่ที่ประมาณ 960 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วน่าจะเติบโตประมาณ 5-6%
ทั้งนี้รายได้ของเอสเอ็มพีมาจาก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นโช้คอัพคายาบา แหวนลูกสูบริกเก้น และคลัทช์เอ็กเซดี้ ซึ่งปีนี้คาดว่ากลุ่มชิ้นส่วนอะไหล่ จะมีรายได้กว่า 600 ล้านบาท และกลุ่มเครื่องจักรกลหนักอย่างรถตักหน้ายี่ห้อเจซีบีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท
- แผนการทำตลาดปีหน้า
ในส่วนแผนการดำเนินงานปี 2553 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เอสเอ็มพีจะเน้นการสร้างแบรนด์สินค้าอะไหล่ยานยนต์สู่ผู้บริโภคโดยตรง เพื่อรองรับการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ สู่ตลาดมากขึ้น จากเดิมแบรนด์สินค้าของเอสเอ็มพีไม่ว่าจะเป็นโช้คอัพคายาบา หรือแหวนลูกสูบริกเกน จะเป็นที่รู้จักของอู่ซ่อมรถเท่านั้น
“เราต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นรู้จักทั่วไป เพื่อที่จะสามารถเจาะเข้าหาผู้ใช้รถโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอู่ซ่อมจะผลักดันหรือไม่ โดยเอสเอ็มพีได้ตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้ที่ประมาณ 20 ล้านบาท จากเดิมจะใช้อยู่แค่กว่า 10 ล้านบาทเท่านั้น รวมถึงการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ของโช้คอัพคายาบา เพื่อรองรับการขยายกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งรถ และนอกจากนี้ยังมีสินค้าในกลุ่มสยามกลการ ที่จะโอนเข้ามาให้เอสเอ็มพีดูแล เป็นเครื่องปั๊มลม และเครื่องพ่นสีในอู่ซ่อมรถ สินค้าใหม่น่าจะมีรายได้อยู่ที่ปีละกว่า 200 ล้านบาท”
- จากภาวะเศรษฐกิจการลงทุนชะลอตัวมีผลกับ “เจซีบี”หรือไม่
สำหรับเครื่องจักรกลหนักเจซีบี อาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่ล่าสุดเรายังลงทุนอีก 50-60 ล้านบาท เพื่อเปิดศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดระยอง สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ และสำนักงานใหญ่ที่เขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการปรับโฉมศูนย์บริการและโชว์รูมของเจซีบีใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจและพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
- ประเมินเป้ารายได้ปีหน้า
ปีหน้าทิศทางเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น จึงคาดว่าจะส่งผลให้รายได้รวมมีมากกว่า 1,000 พันล้านบาท แต่จะเป็นเท่าไหร่ยังไม่สรุปชัด เพราะต้องรอดูสภาวะเศรษฐกิจจริงๆ และยังมีสินค้าใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ในความดูแลของเอสเอ็มพีมากขึ้นด้วย
- สรุปภาพรวมปีนี้
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จะชะลอตัว แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มพีมากนัก เพราะธุรกิจหลักจะเป็นสินค้าพวกอะไหล่ทดแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนทดแทนชิ้นส่วนที่เสียหายไปทันที ดังนั้นคาดว่าถึงสิ้นปี 2552ภาพรวมรายได้ของเอสเอ็มพี น่าจะอยู่ที่ประมาณ 960 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วน่าจะเติบโตประมาณ 5-6%
ทั้งนี้รายได้ของเอสเอ็มพีมาจาก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นโช้คอัพคายาบา แหวนลูกสูบริกเก้น และคลัทช์เอ็กเซดี้ ซึ่งปีนี้คาดว่ากลุ่มชิ้นส่วนอะไหล่ จะมีรายได้กว่า 600 ล้านบาท และกลุ่มเครื่องจักรกลหนักอย่างรถตักหน้ายี่ห้อเจซีบีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท
- แผนการทำตลาดปีหน้า
ในส่วนแผนการดำเนินงานปี 2553 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เอสเอ็มพีจะเน้นการสร้างแบรนด์สินค้าอะไหล่ยานยนต์สู่ผู้บริโภคโดยตรง เพื่อรองรับการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ สู่ตลาดมากขึ้น จากเดิมแบรนด์สินค้าของเอสเอ็มพีไม่ว่าจะเป็นโช้คอัพคายาบา หรือแหวนลูกสูบริกเกน จะเป็นที่รู้จักของอู่ซ่อมรถเท่านั้น
“เราต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นรู้จักทั่วไป เพื่อที่จะสามารถเจาะเข้าหาผู้ใช้รถโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอู่ซ่อมจะผลักดันหรือไม่ โดยเอสเอ็มพีได้ตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้ที่ประมาณ 20 ล้านบาท จากเดิมจะใช้อยู่แค่กว่า 10 ล้านบาทเท่านั้น รวมถึงการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ของโช้คอัพคายาบา เพื่อรองรับการขยายกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งรถ และนอกจากนี้ยังมีสินค้าในกลุ่มสยามกลการ ที่จะโอนเข้ามาให้เอสเอ็มพีดูแล เป็นเครื่องปั๊มลม และเครื่องพ่นสีในอู่ซ่อมรถ สินค้าใหม่น่าจะมีรายได้อยู่ที่ปีละกว่า 200 ล้านบาท”
- จากภาวะเศรษฐกิจการลงทุนชะลอตัวมีผลกับ “เจซีบี”หรือไม่
สำหรับเครื่องจักรกลหนักเจซีบี อาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่ล่าสุดเรายังลงทุนอีก 50-60 ล้านบาท เพื่อเปิดศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดระยอง สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ และสำนักงานใหญ่ที่เขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการปรับโฉมศูนย์บริการและโชว์รูมของเจซีบีใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจและพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
- ประเมินเป้ารายได้ปีหน้า
ปีหน้าทิศทางเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น จึงคาดว่าจะส่งผลให้รายได้รวมมีมากกว่า 1,000 พันล้านบาท แต่จะเป็นเท่าไหร่ยังไม่สรุปชัด เพราะต้องรอดูสภาวะเศรษฐกิจจริงๆ และยังมีสินค้าใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ในความดูแลของเอสเอ็มพีมากขึ้นด้วย
