ใครติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันมานาน คงทราบดีว่าช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา งานแอลเอ มอเตอร์โชว์ นอกจากจะเป็นเวทีสำหรับจัดแสดงรถยนต์ใหม่ๆ และเป็นงานบิ๊กทางฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาแล้ว ยังถือว่าเป็นเวทีสำคัญสำหรับบรรดานักออกแบบที่ทำงานอยู่ในสตูดิโอออกแบบของบริษัทรถยนต์อีกด้วย
เพราะงานนี้มีทั้งการสัมนาประจำปีของกลุ่มนักออกแบบรถยนต์ ที่เรียกกันว่า Panel Discussion และงานเลี้ยง Designer’s Night (ซึ่งปีนี้มีขึ้นวันที่ 3 ธันวาคมหรือวันที่ 2 ของรอบสื่อมวลชนงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ ส่วนวันจริงอยู่ระหว่าง 4-13 ธันวาคม) รวมถึงงานประกวดพลังแห่งการสร้างสรรค์ และจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดของบรรดานักออกแบบในการนำเสนอผลงานด้านยนตรกรรมยุคหน้าที่รู้จักกันในชื่อ Design Challenge
การประกวดรายการนี้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี เมื่อรวมปีนี้เข้าไปด้วยแล้วก็จะเป็นปีที่ 5 (เริ่มครั้งแรกปี 2005) ซึ่งแอลเอ และมลรัฐแคลิฟอร์เนียนอกจากจะเป็นตลาดใหญ่ในเรื่องตัวเลขยอดขายรถยนต์ในสหรัฐ อเมริกาแล้ว ยังถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีบรรดาบริษัทรถยนต์เข้ามาตั้งสตูดิโอออกแบบกันมากมายหลายค่าย ทั้งโตโยต้า, โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป, เกียและฮุนได, เมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงจีเอ็มเอง จึงถือว่าแอลเอ และแคลิฟอร์เนียมีความสำคัญในเชิงของการเป็นจุดศูนย์กลางในด้านการออกแบบรถยนต์เลยก็ว่าได้
Design Challenge ก็เลยเป็นเวทีที่รองรับกับความต้องการตรงนี้ได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่น่าเสียดาย คือ ความเปิดกว้างของการเข้าร่วม เพราะผู้ที่จะเข้าร่วมได้จะต้องเป็นนักออกแบบที่ทำงานอยู่ในบริษัทรถยนต์ที่มีสตูดิโอออกแบบในแอลเอ หรือแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่า การแข่งขันและชิงชัยก็จะเป็นผู้ผลิตรถยนต์หน้าเดิมๆ ที่เปลี่ยนไปก็คงเป็นนักออกแบบที่อยู่ในทีมของบริษัทนั้นๆ
งานประกวดไม่ได้เปิดกว้างให้ใช้พลังจินตนาการกันแบบตัวใครตัวมัน แต่จะมีการกำหนดหัวข้อของการประกวดเอาไว้ด้วย ซึ่งในปีนี้เป็นเรื่องของ YouthMobile 2030 หรือรถยนต์สำหรับวัยรุ่นแห่งยุค 2030 และจากเดิมที่มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดกันมากมาย แต่จากสภาพเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ที่ซบเซาดูเหมือนจะส่งผลประทบเป็นวงกว้าง และในปีนี้มีสตูดิโอที่ส่งผลงานเข้าประกวดเพียง 6 แห่งเท่านั้น ส่วนจะมีใครบ้างก็ลองมาดูกัน
- GM Car Hero : แยกไม่ออกว่าเล่นเกมหรือขับรถ ?
Are you gaming or are you driving? คือ สิ่งที่จีเอ็มตั้งขึ้นมาเป็นหัวข้อสำหรับรถยนต์ยุคหน้าคันนี้ และเมื่อบวกกับความยอดเยี่ยมของระบบติดต่อสื่อสารอย่าง OnStar ซึ่งมีการพัฒนาการทำงานให้มีขีดความสามรถเหนือจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ YouthMobile ที่ชื่อ Car Hero ของจีเอ็มมีความโดดเด่นและน่าสนใจอย่างมาก
แค่ตัวอักษรสำหรับใช้กับชื่อรุ่นของรถก็น่าจะทำให้หลายคนรู้ว่ารถยนต์คันนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวกับเกม เพราะว่าเป็นฟอนต์ของเกม Guitar Hero ซึ่งทีมออกแบบของจีเอ็มเผยว่าเป็นการปรับปรุงการขับรถให้มีความสนุกสนานเหมือนกับการเล่นเกมคอนโซล โดยทุกรายละเอียดของตัวรถถูกออกแบบให้มีความสะดวกและการใช้งานเหมือนกับการจับจอยสติกของเครื่องเล่มเกมคอนโซล
สำหรับการใช้งานก็สะดวกและง่าย เพียงแค่กรอกจุดหมายปลายทางของการเดินทางเข้าไปที่ระบบนำทางของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ ที่เหลือก็จะเป็นหน้าที่ของตัวรถในการพาคุณไปถึงจุดหมาย โดยระหว่างการนั่งอยู่ภายใน ตัวรถจะมีการจำลองสถานการณ์ออกมาเป็นเกมให้เล่นเพื่อพัฒนาทักษะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ตัวระบบจะปลด หรือ Unlock ระบบบางอย่างของตัวรถให้กับนักขับที่มีประสบการณ์สูงเพื่อสัมผัสกับการบังคับควบคุมรถด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งระบบอัตโนมัติ...ถือเป็นอีกประสบการณ์ใหม่ที่น่าลิ้มลองสำหรับนักขับในยุค 2030
- Nissan V2G (UNLMTD) : พลังไฟฟ้าสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ของการเดินทาง
รถสปอร์ตคันสวยสำหรับปี 2030 ของนิสสันที่เกิดขึ้นภายใต้บริบทตามไอเดียของทีมออกแบบที่ว่า ในปี 2030 ระบบไฟฟ้าจะถูกนำมาใช้กับถนนหลวงทุกสายในสหรัฐอเมริกา และนำไปสู่เครือข่ายเน็ตเวิร์คความเร็วสูง และเพียบพร้อมด้วยประสิทธิภาพที่เรียกกันว่า GRID
ด้วยเหตุนี้ชื่อ V2G ก็เป็นคำย่อมาจากเรื่องนี้ คือ Vehicle-to-Grid ภายใต้รูปแบบของรถสปอร์ตพลังไฟฟ้า ที่มีราคาซึ่งไม่แพงและช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง ‘GRID’ ของคนทุกระดับ ซึ่งแนวคิดนี้นิสสันบอกว่าประยุกต์มาจากกลยุทธ์ของกลุ่มโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพยายามทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก และมีราคาไม่แพง
ตัวรถรุ่นนี้ได้รับการออกแบบจากไอเดียของบรรดานักออกแบบรุ่นหนุ่มเพื่อสะท้อนถึงความต้องการของวัยรุ่นชาวแอลเออย่างแท้จริง และยังเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับความต้องการของคนในยุคหน้าอย่างลงตัว
- Audi eSpira/eOra : แนวคิดใหม่ในยุคดิจิตอล
ออดี้อธิบายแนวคิดที่มีต่อปี 2030 ว่า ในยุคนั้นคนรุ่นใหม่จะเกิดขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอล และทุกอย่างถูกทำให้สะดวกสยายด้วยเทคโนโลยี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การขับรถ และรถยนต์ในยุคนั้นซึ่งจะแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทุกอย่างจะมีความทันสมัยและเต็มไปด้วยเทคโนโลยี สมกับสโลแกนที่ว่า “Vorsprung durch Technik” ของออดี้
ในการออกแบบครั้งนี้ตัวรถมากับชื่อ eSpira/eOra 2 แบบ 2 สไตล์ของรถยนต์ในยุคหน้า ซึ่ง eSpira มากับตัวถังทรงสปอร์ตที่เน้นความแรงและความเร้าใจในการขับเคลื่อน ขณะที่ eOra คือ ตัวรถทรงสูงที่มีลักษณะกะทัดรัดเหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง โดยทั้ง 2 รุ่นแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมและระบบที่ใช้ในตัวรถร่วมกัน แต่ภาพที่สะท้อนในเรื่องรูปลักษณ์กลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- Honda Helix : ความสปอร์ตไร้กาลเวลา
แม้จะเข้าสู่ยุคหน้า แต่ความต้องการในด้านความสปอร์ตและความโฉบเฉี่ยวยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในกลุ่มนักขับไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนก็ตาม นี่ก็เลยเป็นที่มาทางด้านไอเดียของ 2 นักออกแบบอย่าง Iliyah Bridan และ Michael Baytion ซึ่งเชื่อว่าแม้ผ่านมาจนถึงปี 2030 แต่รถสปอร์ตก็ยังเป็นที่ต้องการของนักขับอยู่เสมอ
แน่นอนว่าตัวรถมากับความทันสมัยแบบสุดๆ เพราะจากวัสดุแบบโพลีเมอร์ที่มีความทันสมัยในยุคหน้า ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้นั้น ทำให้ Helix สามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงได้ 3 แบบ คือ A, B และ Z ซึ่งแบบแรกมีตัวถังแบบสั้นแต่กว่างเหมาะสำหรับการขับในเมืองที่เต็มไปด้วยการจราจรที่คับคั่ง ส่วนแบบ B มีลักษณะของตัวถังที่ยาวและเตี้ยเหมือนกับรถสปอร์ตที่พร้อมแล่นไปด้วยความเร็วสูง ส่วน Z คือรูปแบบทรงสูงวางในแนวตั้ง และทำให้ Helix ลายเป็นอากาศยานแทนที่จะเป็นรถยนต์สำหรับแล่นบนพื้นดิน
จากความหลายหลายของรูปแบบตัวถังที่สามารถปรับเปลี่ยนได้นั้น ทำให้ Helix เป็นยานยนต์ที่เหมาะสำหรับทุกการเดินทางไม่ว่าจะเป็นการขับจากโตเกียวไปที่โรมในอิตาลี หรือจากโรมต่อไปยังลอส แองเจลีส และสามารถรองรับกับการใช้งานบนทุกสภาพเส้นทางที่มีอยู่บนโลกนี้
- Mazda Souga : พลัง Zoom Zoom ไม่มีวันหมด
นี่คือ เรื่องของอนาคต ... ในปี 2030 เด็กหนุ่มที่ชื่อแม็กซ์มีอายุครบ 18 ปี และกำลังจะมีรถยนต์คันแรกของเขา และมาสด้าคือ รถยนต์ที่เขาเลือก
ลอสแองเจลีสเติบโตและเดินหน้าต่อไปด้วยพลังในการขับเคลื่อนของกลุ่มวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยวัยเพียง 16-23 ปี และพวกเขากลายเป็นจุดศูนย์กลางที่บรรดาผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายต่างยึดเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการพัฒนาสินค้าขึ้นมารองรับ มาสด้าสังเกตเห็นตรงนี้และได้สร้างสรรค์ VMazda ซึ่งเป็นเว็บไซต์แบบ Virtual Reality ขึ้นมาสำหรับเป็นพื้นที่ให้บรรดาวัยรุ่นได้สมมุติตัวเองเป็นนักออกแบบรถยนต์
แม็กซ์ได้เข้ามาที่นี่และจัดการออกแบบรถยนต์ของตัวเองจากนั้นก็ส่งแบบไปยัง Direct Digital Manufacturing plants โรงงานประกอบที่มีความทันสมัยที่สุด และแม็กซ์ก็เสียค่าใช้จ่ายเพียง 2,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรถยนต์คันใหม่ของเขาที่ออกแบบเอง
รถยนต์ของเขาเป็นสปอร์ตคูเป้คันสวยที่มีน้ำหนักเบา และขนาดกะทัดรัด แต่รูปทรงสุดโฉบเฉี่ยว และเต็มไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่รถสปอร์ตยุคหน้าพึงมี
และนี่คือ เรื่องของโลกอนาคต โลกที่ทุกคนสามารถสร้างรถยนต์ของตัวเองได้
- Toyota Link : ไม่พลาดการติดต่อ
นี่คือนิยายเกี่ยวกับโลกอนาคตอีกเรื่องที่เกิดจากไอเดียของโตโยต้า
ในปี 2030 อัตราการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นถึง 81% และวัยรุ่นในยุค 2030 คือ กลุ่มคนที่มีความรู้และความสามารถมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น โตโยต้าจึงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา และนั่นคือที่มาของ LINK
LINK เป็นรถยนต์แบบที่นั่งเดี่ยวสำหรับการเดินทางในแบบเช่าใช้ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเจาะกลุ่มนักศึกษา โดยมีราคาที่ไม่แพง ซึ่งนักศึกาเหล่านี้สามารถเจียดเงินที่เหลือจากการลงทะเบียนมาเช่าใช้ได้ และสามารถขับเดินทางแบบเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มโดยผ่านการเชื่อมต่อกับ LINK คันอื่นๆ โดยผู้ที่สนใจอยากใช้บริการ สามารถเดินทางไปที่ HUB หรือจุดศูนย์กลางที่เก็บรถ LINK
ตัวรถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารและเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับ LINK คันอื่นๆ ที่อยู่ท้องถนน ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพลง หรือการพูดคุยในระหว่างการเดินทาง อีกทั้งผู้ขับยังสามารถใช้ระบบที่เรียกว่า LINK SKINZ ในการดาวน์โหลดรูปแบบของตัวถังซึ่งเปรียบ เสมือนกับ SKIN ในบางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อตกแต่งตัวรถให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
ขณะที่การขับเคลื่อนของตัวรถจะไม่ใช่ยางเหมือนกับรถยนต์ทั่วไป แต่จะใช้ลูกทรงกลม หรือ Sphere ที่ผลิตจาก Electro-Conductive ซึ่งจะเปลี่ยนความฝืดที่เกิดขึ้นให้เป็นพลังงานสำหรับขับเคลื่อนตัวรถ และเก็บพลังงานส่วนเกินเอาไว้ในแบตเตอรี่เพื่อนำมาใช้ในครั้งต่อๆ ไป
เพราะงานนี้มีทั้งการสัมนาประจำปีของกลุ่มนักออกแบบรถยนต์ ที่เรียกกันว่า Panel Discussion และงานเลี้ยง Designer’s Night (ซึ่งปีนี้มีขึ้นวันที่ 3 ธันวาคมหรือวันที่ 2 ของรอบสื่อมวลชนงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ ส่วนวันจริงอยู่ระหว่าง 4-13 ธันวาคม) รวมถึงงานประกวดพลังแห่งการสร้างสรรค์ และจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดของบรรดานักออกแบบในการนำเสนอผลงานด้านยนตรกรรมยุคหน้าที่รู้จักกันในชื่อ Design Challenge
การประกวดรายการนี้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี เมื่อรวมปีนี้เข้าไปด้วยแล้วก็จะเป็นปีที่ 5 (เริ่มครั้งแรกปี 2005) ซึ่งแอลเอ และมลรัฐแคลิฟอร์เนียนอกจากจะเป็นตลาดใหญ่ในเรื่องตัวเลขยอดขายรถยนต์ในสหรัฐ อเมริกาแล้ว ยังถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีบรรดาบริษัทรถยนต์เข้ามาตั้งสตูดิโอออกแบบกันมากมายหลายค่าย ทั้งโตโยต้า, โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป, เกียและฮุนได, เมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงจีเอ็มเอง จึงถือว่าแอลเอ และแคลิฟอร์เนียมีความสำคัญในเชิงของการเป็นจุดศูนย์กลางในด้านการออกแบบรถยนต์เลยก็ว่าได้
Design Challenge ก็เลยเป็นเวทีที่รองรับกับความต้องการตรงนี้ได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่น่าเสียดาย คือ ความเปิดกว้างของการเข้าร่วม เพราะผู้ที่จะเข้าร่วมได้จะต้องเป็นนักออกแบบที่ทำงานอยู่ในบริษัทรถยนต์ที่มีสตูดิโอออกแบบในแอลเอ หรือแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่า การแข่งขันและชิงชัยก็จะเป็นผู้ผลิตรถยนต์หน้าเดิมๆ ที่เปลี่ยนไปก็คงเป็นนักออกแบบที่อยู่ในทีมของบริษัทนั้นๆ
งานประกวดไม่ได้เปิดกว้างให้ใช้พลังจินตนาการกันแบบตัวใครตัวมัน แต่จะมีการกำหนดหัวข้อของการประกวดเอาไว้ด้วย ซึ่งในปีนี้เป็นเรื่องของ YouthMobile 2030 หรือรถยนต์สำหรับวัยรุ่นแห่งยุค 2030 และจากเดิมที่มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดกันมากมาย แต่จากสภาพเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ที่ซบเซาดูเหมือนจะส่งผลประทบเป็นวงกว้าง และในปีนี้มีสตูดิโอที่ส่งผลงานเข้าประกวดเพียง 6 แห่งเท่านั้น ส่วนจะมีใครบ้างก็ลองมาดูกัน
- GM Car Hero : แยกไม่ออกว่าเล่นเกมหรือขับรถ ?
Are you gaming or are you driving? คือ สิ่งที่จีเอ็มตั้งขึ้นมาเป็นหัวข้อสำหรับรถยนต์ยุคหน้าคันนี้ และเมื่อบวกกับความยอดเยี่ยมของระบบติดต่อสื่อสารอย่าง OnStar ซึ่งมีการพัฒนาการทำงานให้มีขีดความสามรถเหนือจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ YouthMobile ที่ชื่อ Car Hero ของจีเอ็มมีความโดดเด่นและน่าสนใจอย่างมาก
แค่ตัวอักษรสำหรับใช้กับชื่อรุ่นของรถก็น่าจะทำให้หลายคนรู้ว่ารถยนต์คันนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวกับเกม เพราะว่าเป็นฟอนต์ของเกม Guitar Hero ซึ่งทีมออกแบบของจีเอ็มเผยว่าเป็นการปรับปรุงการขับรถให้มีความสนุกสนานเหมือนกับการเล่นเกมคอนโซล โดยทุกรายละเอียดของตัวรถถูกออกแบบให้มีความสะดวกและการใช้งานเหมือนกับการจับจอยสติกของเครื่องเล่มเกมคอนโซล
สำหรับการใช้งานก็สะดวกและง่าย เพียงแค่กรอกจุดหมายปลายทางของการเดินทางเข้าไปที่ระบบนำทางของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่ ที่เหลือก็จะเป็นหน้าที่ของตัวรถในการพาคุณไปถึงจุดหมาย โดยระหว่างการนั่งอยู่ภายใน ตัวรถจะมีการจำลองสถานการณ์ออกมาเป็นเกมให้เล่นเพื่อพัฒนาทักษะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ตัวระบบจะปลด หรือ Unlock ระบบบางอย่างของตัวรถให้กับนักขับที่มีประสบการณ์สูงเพื่อสัมผัสกับการบังคับควบคุมรถด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งระบบอัตโนมัติ...ถือเป็นอีกประสบการณ์ใหม่ที่น่าลิ้มลองสำหรับนักขับในยุค 2030
- Nissan V2G (UNLMTD) : พลังไฟฟ้าสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ของการเดินทาง
รถสปอร์ตคันสวยสำหรับปี 2030 ของนิสสันที่เกิดขึ้นภายใต้บริบทตามไอเดียของทีมออกแบบที่ว่า ในปี 2030 ระบบไฟฟ้าจะถูกนำมาใช้กับถนนหลวงทุกสายในสหรัฐอเมริกา และนำไปสู่เครือข่ายเน็ตเวิร์คความเร็วสูง และเพียบพร้อมด้วยประสิทธิภาพที่เรียกกันว่า GRID
ด้วยเหตุนี้ชื่อ V2G ก็เป็นคำย่อมาจากเรื่องนี้ คือ Vehicle-to-Grid ภายใต้รูปแบบของรถสปอร์ตพลังไฟฟ้า ที่มีราคาซึ่งไม่แพงและช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง ‘GRID’ ของคนทุกระดับ ซึ่งแนวคิดนี้นิสสันบอกว่าประยุกต์มาจากกลยุทธ์ของกลุ่มโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพยายามทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก และมีราคาไม่แพง
ตัวรถรุ่นนี้ได้รับการออกแบบจากไอเดียของบรรดานักออกแบบรุ่นหนุ่มเพื่อสะท้อนถึงความต้องการของวัยรุ่นชาวแอลเออย่างแท้จริง และยังเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับความต้องการของคนในยุคหน้าอย่างลงตัว
- Audi eSpira/eOra : แนวคิดใหม่ในยุคดิจิตอล
ออดี้อธิบายแนวคิดที่มีต่อปี 2030 ว่า ในยุคนั้นคนรุ่นใหม่จะเกิดขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอล และทุกอย่างถูกทำให้สะดวกสยายด้วยเทคโนโลยี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การขับรถ และรถยนต์ในยุคนั้นซึ่งจะแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทุกอย่างจะมีความทันสมัยและเต็มไปด้วยเทคโนโลยี สมกับสโลแกนที่ว่า “Vorsprung durch Technik” ของออดี้
ในการออกแบบครั้งนี้ตัวรถมากับชื่อ eSpira/eOra 2 แบบ 2 สไตล์ของรถยนต์ในยุคหน้า ซึ่ง eSpira มากับตัวถังทรงสปอร์ตที่เน้นความแรงและความเร้าใจในการขับเคลื่อน ขณะที่ eOra คือ ตัวรถทรงสูงที่มีลักษณะกะทัดรัดเหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง โดยทั้ง 2 รุ่นแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมและระบบที่ใช้ในตัวรถร่วมกัน แต่ภาพที่สะท้อนในเรื่องรูปลักษณ์กลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- Honda Helix : ความสปอร์ตไร้กาลเวลา
แม้จะเข้าสู่ยุคหน้า แต่ความต้องการในด้านความสปอร์ตและความโฉบเฉี่ยวยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในกลุ่มนักขับไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนก็ตาม นี่ก็เลยเป็นที่มาทางด้านไอเดียของ 2 นักออกแบบอย่าง Iliyah Bridan และ Michael Baytion ซึ่งเชื่อว่าแม้ผ่านมาจนถึงปี 2030 แต่รถสปอร์ตก็ยังเป็นที่ต้องการของนักขับอยู่เสมอ
แน่นอนว่าตัวรถมากับความทันสมัยแบบสุดๆ เพราะจากวัสดุแบบโพลีเมอร์ที่มีความทันสมัยในยุคหน้า ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้นั้น ทำให้ Helix สามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงได้ 3 แบบ คือ A, B และ Z ซึ่งแบบแรกมีตัวถังแบบสั้นแต่กว่างเหมาะสำหรับการขับในเมืองที่เต็มไปด้วยการจราจรที่คับคั่ง ส่วนแบบ B มีลักษณะของตัวถังที่ยาวและเตี้ยเหมือนกับรถสปอร์ตที่พร้อมแล่นไปด้วยความเร็วสูง ส่วน Z คือรูปแบบทรงสูงวางในแนวตั้ง และทำให้ Helix ลายเป็นอากาศยานแทนที่จะเป็นรถยนต์สำหรับแล่นบนพื้นดิน
จากความหลายหลายของรูปแบบตัวถังที่สามารถปรับเปลี่ยนได้นั้น ทำให้ Helix เป็นยานยนต์ที่เหมาะสำหรับทุกการเดินทางไม่ว่าจะเป็นการขับจากโตเกียวไปที่โรมในอิตาลี หรือจากโรมต่อไปยังลอส แองเจลีส และสามารถรองรับกับการใช้งานบนทุกสภาพเส้นทางที่มีอยู่บนโลกนี้
- Mazda Souga : พลัง Zoom Zoom ไม่มีวันหมด
นี่คือ เรื่องของอนาคต ... ในปี 2030 เด็กหนุ่มที่ชื่อแม็กซ์มีอายุครบ 18 ปี และกำลังจะมีรถยนต์คันแรกของเขา และมาสด้าคือ รถยนต์ที่เขาเลือก
ลอสแองเจลีสเติบโตและเดินหน้าต่อไปด้วยพลังในการขับเคลื่อนของกลุ่มวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยวัยเพียง 16-23 ปี และพวกเขากลายเป็นจุดศูนย์กลางที่บรรดาผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายต่างยึดเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการพัฒนาสินค้าขึ้นมารองรับ มาสด้าสังเกตเห็นตรงนี้และได้สร้างสรรค์ VMazda ซึ่งเป็นเว็บไซต์แบบ Virtual Reality ขึ้นมาสำหรับเป็นพื้นที่ให้บรรดาวัยรุ่นได้สมมุติตัวเองเป็นนักออกแบบรถยนต์
แม็กซ์ได้เข้ามาที่นี่และจัดการออกแบบรถยนต์ของตัวเองจากนั้นก็ส่งแบบไปยัง Direct Digital Manufacturing plants โรงงานประกอบที่มีความทันสมัยที่สุด และแม็กซ์ก็เสียค่าใช้จ่ายเพียง 2,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรถยนต์คันใหม่ของเขาที่ออกแบบเอง
รถยนต์ของเขาเป็นสปอร์ตคูเป้คันสวยที่มีน้ำหนักเบา และขนาดกะทัดรัด แต่รูปทรงสุดโฉบเฉี่ยว และเต็มไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่รถสปอร์ตยุคหน้าพึงมี
และนี่คือ เรื่องของโลกอนาคต โลกที่ทุกคนสามารถสร้างรถยนต์ของตัวเองได้
- Toyota Link : ไม่พลาดการติดต่อ
นี่คือนิยายเกี่ยวกับโลกอนาคตอีกเรื่องที่เกิดจากไอเดียของโตโยต้า
ในปี 2030 อัตราการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นถึง 81% และวัยรุ่นในยุค 2030 คือ กลุ่มคนที่มีความรู้และความสามารถมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น โตโยต้าจึงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา และนั่นคือที่มาของ LINK
LINK เป็นรถยนต์แบบที่นั่งเดี่ยวสำหรับการเดินทางในแบบเช่าใช้ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเจาะกลุ่มนักศึกษา โดยมีราคาที่ไม่แพง ซึ่งนักศึกาเหล่านี้สามารถเจียดเงินที่เหลือจากการลงทะเบียนมาเช่าใช้ได้ และสามารถขับเดินทางแบบเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มโดยผ่านการเชื่อมต่อกับ LINK คันอื่นๆ โดยผู้ที่สนใจอยากใช้บริการ สามารถเดินทางไปที่ HUB หรือจุดศูนย์กลางที่เก็บรถ LINK
ตัวรถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารและเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับ LINK คันอื่นๆ ที่อยู่ท้องถนน ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพลง หรือการพูดคุยในระหว่างการเดินทาง อีกทั้งผู้ขับยังสามารถใช้ระบบที่เรียกว่า LINK SKINZ ในการดาวน์โหลดรูปแบบของตัวถังซึ่งเปรียบ เสมือนกับ SKIN ในบางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อตกแต่งตัวรถให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
ขณะที่การขับเคลื่อนของตัวรถจะไม่ใช่ยางเหมือนกับรถยนต์ทั่วไป แต่จะใช้ลูกทรงกลม หรือ Sphere ที่ผลิตจาก Electro-Conductive ซึ่งจะเปลี่ยนความฝืดที่เกิดขึ้นให้เป็นพลังงานสำหรับขับเคลื่อนตัวรถ และเก็บพลังงานส่วนเกินเอาไว้ในแบตเตอรี่เพื่อนำมาใช้ในครั้งต่อๆ ไป
