xs
xsm
sm
md
lg

SEMA Show 09 : งานโชว์รถโมดิฟายระดับโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถึงจะแก่แต่ก็ยังมีไฟอยู่ ใครที่คิดจะลองดีกับเฟียต 500 คันนี้คงต้องคิดให้หนัก เพราะเครื่องยนต์ที่วางทางด้านหน้าเป็นขุมพลังวี8 บล็อกใหญ่ที่มีเรี่ยวแรงถึง 725 แรงม้าเลยทีเดียว
นอกจากงานโตเกียว ออโต้ ซาลอน ที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งจัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมของทุกปีแล้ว อีกงานแสดงรถยนต์โมดิฟายและอุปกรณ์ตกแต่งที่ถือว่าดังและขึ้นชื่อในระดับโลก สำหรับแวดวง After Market อีกรายการ หนีไม่พ้นงาน SEMA Show ซึ่งจัดเป็นประจำทุกเดือนพฤศจิกายน ที่เมืองลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา

SEMA Show เป็นงานโชว์จัดขึ้นโดยสมาคมที่เรียกว่า Specialty Equipment Market Association หรือชื่อย่อคือ SEMA ซึ่งก่อตั้งในปี 1963 ในการรวมตัวกันของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ตกแต่ง หรือ After Market, ดีลเลอร์รถยนต์, ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์เฉพาะทางต่างๆ และร้านหรือสำนักแต่งทั้งที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา หรือในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก แต่สนใจที่จะเข้ามาเจาะตลาดอุปกรณ์ตกแต่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งว่ากันว่าในแต่ละปีมีเงินหมุนเวียนอยู่ถึง 36,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ

ฮอนด้าพาแฟนๆ กลับสู่ยุคเริ่มต้นของการนำรถยนต์ในสายการผลิตมาทำเป็นรถแข่งด้วยตัวแข่งที่พัฒนาบนพื้นฐานของรุ่นซีวิค เป็นตัวแข่ง 1200 SCCA ในคลาส GT5 ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า Tokyo Joe
ที่ผ่านมาตัวงานอาจจะมีรูปแบบในลักษณะ B2B หรือ Business to Business ซึ่งเป็นการออกร้านเพื่อมองหาคู่ค้า หรือพันธมิตรในเชิงธุรกิจเป็นหลัก แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ต่างก็เข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน และบรรดาสำนักแต่งหรือผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งบางรายก็เริ่มมองและให้ความสนใจกับบรรดาคนทั่วไปที่เข้ามาชมงานกันมากขึ้น ก็เลยทำให้บรรยากาศของงาน SEMA เปลี่ยนไป และมีอะไรที่น่าสนใจมากขึ้น

สำหรับงานในปีนี้มีขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น ตัวงานยังยึดอาการ Las Vegas Convention Centre เป็นสถานที่ในการจัดแสดงเหมือนเดิม และแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในสหรัฐอเมริกา และทั่วโลกจะยังไม่ค่อยกระเตื้องขึ้นมากเท่าที่ควรจะเป็น แต่ทว่าสีสันภายในงานก็ยังคึกคักและมีอะไรใหม่ๆ ให้ดูและสัมผัสกัน ไม่ว่าจะเป็นรถแต่งที่เน้นความสวยความแรง อุปกรณ์ตกแต่งทั้งสำหรับการใช้งานในชีวิต ประจำวัน หรือในสนามแข่ง รถที่ผ่านการดัดแปลงทั้งคันเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าบางกลุ่มที่อาจจะต้องการความแตกต่างจากรุ่นปกติ

ไม่ได้มีแค่การออกบู๊ธในอาคารเท่านั้น แต่ด้านนอกยังมีการจัดแสดงโชว์ความแรงทั้งในเรื่องของ Street Racing และรถแข่งทั้งทางเรียบและทางฝุ่นอีกด้วย
แน่นอนว่านอกจากบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งแล้ว บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ต่างก็เข้าร่วมงานนี้กันอย่างคับคั่ง โดยนอกจากบรรดาบิ๊กทรีของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันอย่างจีเอ็ม, ฟอร์ด และไครสเลอร์แล้ว ดูเหมือนว่าฮอนด้าจะกลายเป็นผู้มาเยือนเพียงไม่กี่รายที่มีอะไรใหม่ๆ ให้สัมผัส โดยเฉพาะการเปิดตัวชุดแต่ง MUGEN ให้กับรถยนต์อย่างแอคคอร์ด และฟิต/แจ๊ซสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ

ตามด้วยการนำรถแข่งรุ่นเก่าๆ ในอดีตมาโชว์ตัว ซึ่งที่น่าสนใจคือ รถแข่งรุ่นปี 1974 ที่ใช้พื้นฐานของซีวิครุ่นแรก และมีชื่อเล่นว่า Tokyo Joe โดยนอกจากจะประสบความสำเร็จในการแข่งขัน SCCA คลาส GT5 แล้ว ยังสร้างชื่อด้วยการทำสถิติเป็นซีวิคที่แล่นเร็วที่สุดในโลก หรือ The World’s Fastest Civic เมื่อปี 1976 ด้วยการแล่นบนสนามทาลาเดลก้า ซูเปอร์สปีดเวย์ ด้วยความเร็วเฉลี่ย 146.698 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 236 กิโลเมตร/ชั่วโมงทั้งที่มีเครื่องยนต์ 1,200 ซีซีเท่านั้น

ส่วนค่ายโตโยต้าก็เน้นไปที่การลุยของปิกอัพ 2 รุ่นที่มีขายในสหรัฐอเมริกา คือ ทาโคมา และทุนดรา ซึ่งที่เด่นสุดคือ ทาโคมา All-Terrain Gamer มากับประตูที่เปิดขึ้นในแบบปีกนก และยังสามารถขยายเบาะนั่งแถวหลังออกมาได้อีกด้วย เพื่อเอาใจคนเล่นเกมคอนโซล ส่วนรุ่นทุนดราเป็นเวอร์ชันแต่งย้อนยุคกลับไปสู่ทศวรรษที่ 1950 ในสไตล์ Hot Rod ดูสวยไปอีกแบบ

โตโยต้าจับเอาปิกอัพรุ่นเล็กอย่างทาโคมามาดัดแปลงให้เป็นสถานที่เล่นเกมคอนโซล เด่นด้วยประตูเปิดขึ้นแบบปีกนก และเบาะนั่งด้านหลังสามารถขยายออกทางด้านข้างรวมเป็น 4 ที่นั่ง
ในส่วนของผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเอง พวกที่เด่นๆ คงหนีไม่พ้นบรรดา Pony Car ทั้งหลาย ซึ่งทั้ง 3 แบรนด์ต่างก็มีผลิตภัณฑ์ของตัวเองในการจัดแสดง อย่างค่ายฟอร์ดก็เน้นไปที่ความแรงและความสวยแบบสปอร์ตของมัสแตง

ขณะที่ไครสเลอร์โดดเด่นผ่านทางแบรนด์ในเครืออย่างดอดจ์ ซึ่งมีรุ่นแชลเลนเจอร์เป็นตัวชูโรง และมีการดัดแปลงทั้งเพิ่มความแรงและความแปลกใหม่ อย่างค่าย HPP ซึ่งนำแชลเลนเจอร์มาตกแต่งใหม่ทั้งคันให้เหมือนกับตัวแข่ง NASCAR รุ่นดอดจ์ เดย์โทน่าที่ลงแข่งในปี 1960 (มีหน้าตาและรูปลักษณ์คล้ายกับ Plymouth Superbird) แถมยังมีผลิตขายในตลาดด้วยจำนวนจำกัดเพียง 500 คันอีกด้วย

Rhys Millen ยังเน้นกับการโมดิฟายและเพิ่มความแรงโดยอาศัยพื้นฐานของรถยนต์จากฮุนได อย่างในภาพเป็นรุ่น RM430 ที่ใช้พื้นฐานของรุ่นเจเนซิส คูเป้ ซึ่งดัดแปลงนำเครื่องยนต์วี8 4,600 ซีซีมาวางที่ด้านท้าย และมีผลิตขายด้วย
สำหรับจีเอ็ม ในงานนี้หนีไม่พ้นรถสปอร์ตรุ่นโปรโมทอย่างเชฟโรเลต คามาโรซึ่งมีหลายเวอร์ชันการตกแต่งจากโรงงาน เช่น Dusk Version เน้นสีทึมแต่ดูสวยสปอร์ต ตามด้วย Synergy Version มากับสีเขียวสดใส และ Chroma ออกแนวหรูแบบสปอร์ตด้วยสีขาวสะอาดตา ซึ่งทุกคันมากับความสวยของล้อแม็กวงโตขนาด 21 นิ้ว แต่ที่แฟนๆ บ่นเสียดายมากที่สุดคือ ไม่มีการนำรุ่นเปิดประทุนของคามาโรใหม่ออกมาเปิดตัวเหมือนกับที่มีข่าวระบุอกมาก่อนหน้านี้
HTT Plethore LC-750 สปอร์ตแฮนด์เมด ที่ผลิตโดย Luc Chartrand อดีตนักแข่งโกคาร์ทซึ่งผันตัวมาทำงานด้านการออกแบบรถสปอร์ต ตัวรถใช้เครื่อยนต์ LS9 ของเชฟโรเลต คอร์เว็ต ZR1 และให้ความมั่นใจในความปลอดภัยด้วย Roll Cage ที่ผ่านการรับรองโดย FIA มีขาย 2 เวอร์ชัน คือ 750 แรงม้าในราคา 600,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 19.8 ล้านบาท และ 1,300 แรงม้าในราคา 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 33 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นงานใหญ่ระดับโลก แต่ด้วยผลผลิตที่จัดแสดงอยู่ใน SEMA Show ซึ่งเน้นตลาดในบ้านตัวเองเป็นหลัก อาจไม่ค่อยโดนใจคนแต่งรถบ้านเรามากเท่ากับโตเกียว ออโต้ ซาลอน ทั้งในเรื่องสไตล์การแต่ง สินค้าที่รองรับกับรุ่นรถยนต์ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ที่เน้นขายในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่ก็มีบ้างที่รถยนต์บางรุ่นอาจจะเข้ามามีขายในบ้านเรา แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อยเกือบๆ 1.2 ล้านล้านบาท

Ken Block จับซูบารุ อิมเพรซามาเอาใจคนชอบลุยด้วยการเปลี่ยนเป็นตีนตะขาบเหมาะสำหรับการลุยหิมะหรือทางออฟโรด ขณะที่เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2,500 ซีซีก็ถูกโมดิฟายเพิ่มกำลังเป็น 400 แรงม้า
และที่สำคัญบรรดาสาวๆ หรือพริตตี้ในงานที่ SEMA ต้องยอมรับว่า ‘สวยและเร้าใจ’ น้อยกว่างานโตเกียว ออโต้ ซาลอน...ตรงนี้ใครที่ไปสัมผัสกันถึงที่ คงทราบกันดี

ปากานี่ ซอนด้า อาร์ ถูกส่งเข้ามน้ำมาจากยุโรปเพื่อเข้ามาร่วมสร้างสีสันในงานนี้
เชฟโรเลต คามาโรในเวอร์ชันของ Jay Leno พิธีกรชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เมินเครื่องยนต์วี8 แต่หันมาเอาใจคนรักความประหยัดจับเอาเครื่องยนต์วี6 3,600 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จแบบ Di มาวางแทน มีกำลัง 425 แรงม้าเท่ากับเครื่องยนต์วี8 แต่กินน้ำมันน้อยกว่าเยอะ
ไซออน xB ถูกดัดแปลงด้วยฝีมือของ Brandon Leung พร้อมกับย้อนยุคกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1960
ดอดจ์ แชลเลนเจอร์ 1320 เน้นความดุดันทั้งรูปลักษณ์และสมรรถนะ ด้วยการเพิ่มเรี่ยวแรงให้กับเครื่องยนต์ HEMI Gen III ด้วยเสื้อสูบและฝาสูบใหม่ที่ผลิตจากอะลูมิเนียม มีกำลัง 556  แรงม้า และแรงบิดสูงสุดมากกว่า 69 กก.-ม. ส่วนชื่อรุ่นมาจากตัวเลข 1,320 ฟุตหรือระยะทางในการแข่งควอเตอร์ไมล์
Lingenfelter นำเสนอความแปลกใหม่ของผลงานด้วยการจับเอาเชฟโรเลต คามาโรรุ่นปัจจุบันมาดัดแปลงหน้าตาเพื่อหวนกลับไปในยุครุ่งเรืองของพวก Pony car และ Muscle Car ด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ด้านหน้าและหลังใหม่เพื่อให้คล้ายกับพอนติแอค ทราน-แอมส์ในยุคปี 1970 ส่วนเครื่องยนต์วี8 ก็โมดิฟายเพิ่มกำลังเป็น 655 แรงม้า
HPP พาแฟนๆ ของไครสเลอร์ย้อนกลับสู่ความรุ่งเรืองในยุค 1960 ด้วยการจับเอาดอดจ์ แชลเลนเจอร์รุ่นปัจจุบันมาดัดแปลงให้มีหน้าตากลายเป็นตัวแข่ง NASCAR ที่เคยกวาดถ้วยให้กับดอดจ์เป็นว่าเล่นในยุคนั้น และดูเหมือนว่าจะมีผลิตออกขาย 500 คันอีกด้วย
ฟอร์ด EcoBoost Hot Rod จับเอารถยนต์รุ่นปี 1934 มาเจอกับเครื่องยนต์ที่ทันสมัยอย่าง EcoBoost แบบวี6 3,500 ซีซี เทอร์โบคู่ มีกำลังสูงสุด 400 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 55.2 กก.-ม. แรงและเร้าใจตามสไตล์ Hot Rod
กำลังโหลดความคิดเห็น