xs
xsm
sm
md
lg

‘แลนเซอร์ อีเอ็กซ์’ มาช้าแต่น่าสน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของ มิตซูบิชิ ที่จัดงาน“เอ็กซ์คลูซีฟ เทสไดร์ฟ” ให้สื่อมวลชนได้ลองขับ“แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่”เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 ต.ค.) เพราะถ้านับย้อนหลังไป 8 ปี ของวันเดียวกัน เรามีโอกาสได้เห็น จอห์น บอง โจวี เป็นพรีเซนเตอร์ร้องเพลง It’s my life ในโฆษณาเปิดตัว “แลนเซอร์ ซีเดีย” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ก่อน “แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่” จะลุยตลาดอย่างเป็นทางการ มิตซูบิชิได้ทู่ซี้ ขายแลนเซอร์ ซีเดีย หรือรุ่นโฉมเก่ามาได้ถึง 8 ปี (แต่มีการปรับหน้าตา ออปชันไปเรื่อย) เท่านั้นไม่พอ เมื่อค่ายตราเพชรยังไม่ยอมถอดรุ่นเก่าออกจากตลาด แต่ตั้งใจเดินหน้าต่อโดยปรับตำแหน่งสินค้าและราคาลงมาท้าชนพวกเก๋งซับคอมแพกต์ ซึ่งถือเป็นการอุดช่องว่างสินค้าที่ตนเองไม่มี ขณะเดียวกันยังได้ขายรุ่น ซีเอ็นจี ต่อไปด้วย

...นี่จึงเป็นปรากฏการณ์ไม่ธรรมดา หรือจะเรียกให้เท่ คงต้องยกให้ แลนเซอร์ เจเนอเรชันที่ 8 เป็นรถยนต์ประวัติศาสตร์รุ่นหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว!


ร่วม 2 ปี ที่เราต้องทนเห็นเพื่อนบ้านชาวโลกมีโอกาสได้ขับ “แลนเซอร์ ใหม่”กันเฉิบๆ และที่ต้องมาช้าขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาด้านการเงิน หรือน้ำเลี้ยงจากบริษัทแม่ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องเจียดมาให้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ใช้ปรับสายการผลิต ดังนั้นเมื่อเงินน้อยใช้จ่ายระมัดระวัง จึงต้องพิจารณาอย่างละเอียดถึงจำนวนการผลิตให้คุ้มค่าการลงทุน(จริงในประเทศไทย มิตซูบิชิก็ทุ่มลงมากับปิกอัพและเครื่องยนต์ดีเซลมากแล้ว)

นอกจากนี้ด้วยการเป็นรถยนต์ที่พัฒนาใหม่ทั้งคัน หลายชิ้นส่วนต้องใช้เทคโนโลยีสูง ซึ่งมิตซูบิชิ ยอมรับว่า ซัพพลายเออร์เมืองไทยไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนให้ตรงกับความต้องการหรือมาตรฐานได้ และอย่างที่เห็น “แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่” ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (local content) แค่ 30% (ไม่ถึงมาตรฐานที่กำหนดไว้ 40%เพื่อจะได้สิทธิพิเศษด้านต่างๆจากรัฐบาล)

ดังนั้นเราจึงเห็น บล็อก 4B10 ขนาด 1.8 ลิตร สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ได้ถึง อี85 เพราะถึงแม้จะเป็นการประกอบเครื่องยนต์ที่เมืองไทย แต่ทุกชิ้นส่วนนั้นนำเข้ามาจากญี่ปุ่นทั้งหมด เช่นเดียวกับบล็อก 4B11 ขนาด 2.0 ลิตร (ใช้ได้ถึง อี20)

ไล่เรียงไปเสียยาว ก็แค่อยากจะปูพื้นคร่าวๆ ถึงความเป็นมาอันยากลำบาก กว่าจะมาเป็น แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ในตลาดไทยที่เตรียมเปิดตัวลงโชว์รูมอย่างเป็นทางการ 16 ตุลาคมนี้ และก่อนจะถึงวันนั้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้โหมโรง เรียกน้ำย่อยก่อนด้วยการจัดงาน “เอ็กซ์คลูซีฟ เทสไดร์ฟ” ให้ดีลเลอร์ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และสื่อมวลชน ได้ลองขับกันตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (เสร็จสิ้นวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคมนี้) โดยยึดเอาช่องจอดฝั่งอาคารผู้โดยสารต่างประเทศ สนามบินดอนเมือง เป็นสถานที่ทดสอบชั่วคราว


มิตซูบิชิ เตรียมรถเอาไว้ให้ทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 และ 1.8 ลิตร โดย 1 คนจะได้ขับทั้งสองรุ่น รุ่นละ 2 รอบ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที โดยสนามกว้างๆ ตั้งกรวยกำหนดเส้นทางวนไปวนมาราวๆ 1 กิโลเมตร(ต่อรอบ) ทั้งการทดสอบรัศมีวงเลี้ยว การกลับรถ อัตราเร่ง การเข้าโค้ง และสลาลอม

เราเริ่มต้นจากรุ่น 1.8 GLS-Ltd ก่อน โดยตำแหน่งผู้ขับให้ทัศนะวิสัยดี เบาะหนังไม่นุ่มไม่แข็งนั่งสบาย แต่เสียว่าการปรับตำแหน่งเบาะน่าจะทำให้ต่ำได้กว่านี้ ซึ่งยังเป็นข้อด้อยเดียวกับ แลนเซอร์ รุ่นเก่า ตรงนี้คนตัวสูงๆอาจจะหงุดหงิดนิดหน่อย ส่วนการตกแต่งภายในที่เน้นโทนสีดำดูเข้มขรึม แต่วัสดุนำมาประกอบบางชิ้นยังดูเหมือนพลาสติกเกรดธรรมดา โดยเฉพาะแผงประตู ตรงมือจับเปิด-ปิด จะสัมผัสได้ชัดเจนสุด

พลันสตาร์ทเครื่องยนต์ ออกตัว แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ เครื่องยนต์ 1.8 MIVEC วาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย พร้อมม้า 139 ตัว เมื่อประกบกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT INVECS-III 6 สปีด ออกตัวได้ไม่ขัดเขิน ระบบเกียร์ส่งกำลังดีขึ้น เร่งได้ต่อเนื่อง และแม้บางคนอาจบ่นว่าอืด แต่ผมว่าไม่ และถือว่าพอดิบพอดีแล้ว แต่โอเคถ้าไปเทียบกับซีวิคอาจไม่ปรู้ดปร้าดเท่า (จริงๆมีโหมดสปอร์ตด้วยแต่ไม่ได้ลองใช้)

สำหรับระบบส่งกำลังแบบ CVT รุ่นนี้ จุดเด่นยังอยู่ที่การผ่านกำลังได้ไหลลื่นนุ่มนวล ส่วนเรื่องความทนทานนั้น วิศวกรมิตซูบิชิยืนยันว่า CVT รุ่นใหม่นอกจากจะมีพูเล่ และสายพานใหญ่ขึ้นแล้ว ยังปรับปรุงเรื่องระบบระบายความร้อนให้ดีขึ้นด้วย


อย่างไรก็ตามสิ่งที่มาพร้อมกับการเข่นคันเร่ง คือเสียงเครื่องยนต์ที่รู้สึกว่าจะดังเข้ามาในห้องโดยสารพอสมควร ช่วงรอบ 4,000 – 5,000 นี่ถือว่ากระหึ่มผิดวิสัย ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะการออกแบบโครงสร้างเครื่องยนต์ ที่วางท่อร่วมไอเสียไว้ด้านหลัง หรือเป็นปัญหาเฉพาะคันเท่านั้น เนื่องจากการไปนั่งในรุ่น 2.0 ลิตร เสียงก็ไม่ดังขนาดนี้

ในส่วนของรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร MIVEC นั้น ให้กำลังสูงสุด 154 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 198 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที แน่นอนว่าขับสนุกกว่ารุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ส่วนล้ออัลลอยด์ขอบ 18 ประกบยางโยโกฮามา(นำเข้า)ขนาด 215/45 R18 อาจทำให้น้ำหนักพวงมาลัย หรือการควบคุมหนืดกว่ารุ่น 1.8 แต่กระนั้นการตอบสนองของพวงมาลัยแร็กแอนพิเนียนทั้งสองรุ่นเครื่องยนต์ถือว่าเซ็ทมายอดเยี่ยม



ด้านหลังพวงมาลัยของรุ่น 2.0 ลิตร มีแพดเดิลชิฟท์ไว้ให้ปรับเปลี่ยนเล่นเกียร์เอง ซึ่งค่อนข้างตามใจผู้ขับพอสมควรไม่ว่าจะ บวกเกียร์มือขวา หรือลดเกียร์มือซ้าย แต่กระนั้นอาจตะกุกตะกักเล็กน้อย ตอนหมุนพวงมาลัย เพราะไอ้เจ้าแพดเดิลชิฟท์นี่มันไม่ได้หมุนตามไปด้วย

ด้านระบบรองรับเป็นแบบอิสระ 4 ล้อ พร้อมเหล็กกันโคลง แต่ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรจะใส่เหล็กค้ำโช้คหน้ามาให้ด้วย ก็หนึบแน่นตามสไตล์มิตซูบิชิ และโดยส่วนตัวคิดว่า แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ พัฒนาช่วงล่างได้สมดุลมากขึ้น การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงทำได้เนียนแน่นมากๆ ยิ่งรุ่น 2.0 อาจดีที่สุดในตลาดเมื่อเทียบกับคู่แข่งระดับเดียวกัน

นอกจากนี้จุดเด่นที่รู้สึกถึงความจริงใจของมิตซูบิชิอีกประการนั่นคือ การใส่ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และเสริมแรงเบรก BA มาเป็นมาตรฐานทุกรุ่น (แต่ถ้าเพิ่มระบบความคุมเสถียรภาพการทรงตัว VSC มาด้วยจะดีมาก)

รวบรัดตัดความ...แม้จะเป็นการลองขับสั้นๆ แต่ก็ทำให้เรารับรู้ถึงนิสัยและการพัฒนาของ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ได้ระดับหนึ่ง จุดเด่นอยู่ที่ช่วงล่าง และการบังคับควบคุม ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรใส่ออปชันมาเพียบ พร้อมอารมณ์ขับสนุก ซึ่งถ้าเทียบปอนด์ต่อปอนด์ ไม่แพ้เก๋งคอมแพกต์คู่แข่งจากชาติเดียวกันแน่นอน...เอาเป็นว่าถ้าต่อไปมีโอกาสได้ขับเต็มๆจะมาเขียนแบบละเอียดอีกครั้งแล้วกัน

ราคา แลนเซอร์ อีเอ็กซ์

รุ่นราคา(บาท)
1.8 MIVEC GLX831,000
1.8 MIVEC GLS886,000
1.8 MIVEC GLS-Ltd.899,000
2.0 MIVEC GT1,034,000





กำลังโหลดความคิดเห็น