เนื่องในการฉลองครบรอบ 50 ปี “มินิ” เชิญแขกพิเศษ “ราวน์โน ออลโทเนน” มาร่วมฉลองด้วย ซึ่งชื่อของราวน์โน หากใครเป็นสาวกมินิหรือคนในวงการแข่งรถแรลลี่คงไม่ต้องบรรยาย เพราะเค้าคือ เจ้าของฉายา Rally Professor ผู้ขับที่สามารถพาเจ้ารถคันเล็กๆ มินิ คว้าชัยชนะในการแข่งขันแรลลี่ มาอย่างโชกโชนช่วงยุค 60
ดังนั้นเมื่อโอกาสเปิด ทีมงาน ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง จึงไม่พลาดเข้าร่วมสัมภาษณ์ ราวน์โน ถึงเรื่องราวและประสบการณ์ของเขากับมินิบนเส้นทางแรลลี่
-เริ่มแข่งได้อย่างไร?
ตั้งแต่อายุ 12 ปี คุณพ่อสนับสนุนให้ทำกิจกรรมและเล่นกีฬา โดยเริ่มจากแข่งเรือเร็วก่อน จากนั้นก็มาแข่งมอเตอร์ไซค์ แต่แข่งไปได้สักพักรู้สึกว่า ขับรถ 2 ล้อมันมีอุบัติเหตุง่ายและบ่อย จึงเปลี่ยนแนวหันมาหารถ 4 ล้อแทน เพราะปลอดภัยกว่า
หลังจากเข้ามาแข่งรถยนต์ก็แข่งทุกประเภททั้ง ทางฝุ่น(แรลลี่)และทางเรียบ(เซอร์กิต) และเมื่อแข่งมาถึงจุดหนึ่งจำเป็นต้องเลือกว่า จะแข่งทางเรียบอย่างเดียวหรือแข่งแต่ทางฝุ่น กลับไปนอนคิดแล้วรู้สึกว่า ตัวเองขับทางเรียบเร็วและถนัดกว่าทางฝุ่น แต่เมื่อคิดดีๆ แล้วทางฝุ่น คู่แข่งน้อยและฝีมือผมเหนือกว่า ขณะที่ทางเรียบคู่แข่งฝืมือพอๆ กัน ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือกแข่งทางฝุ่น เพราะมีโอกาสชนะมากกว่า (ฮา)
ทั้งนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การแข่งทางฝุ่นเหนือกว่า คู่แข่งเพราะความเป็นคน ฟินแลนด์ ด้วยสภาพภูมิประเทศและอากาศที่มีทั้งหิมะน้ำแข็ง ขึ้นเขาสูง ทำให้การขับรถปกติในฟินแลนด์เหมือนอยู่ในสนามแข่งแรลลี่ตลอดเวลา ที่ต้องควบคุมรถในสภาพลื่นไถล ดังนั้นนักแข่งจากฟินแลนด์ทุกคนจึงได้เปรียบคู่แข่งจากประเทศอื่นๆ เพราะเหมือนได้ซ้อมอยู่ตลอดเวลาเมื่อกลับมาขับรถในประเทศตัวเอง
-แรงบันดาลใจ?
มาจากคุณพ่อ ที่ชอบให้เล่นเรือ แล้วเกิดติดใจความสนุก จากการได้เร่งสปีด ประกอบกับความชอบในเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จึงกลายมาเป็นนักแข่ง อย่างไรก็ตามคุณพ่อก็ไม่ให้ทิ้งเรื่องเรียน เดิมตั้งใจจะเรียนวิศวะ แต่คุณพ่อไม่ยอม บังคับให้ไปไฟแนนซ์กับการตลาดและภาษาแทน
ซึ่งผลจากการที่เราได้เรียนภาษา ตามที่พ่อบอกกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเหนือกว่านักแข่งคนอื่นๆ เนื่องจาก ผมสามารถพูดคุยกับนักแข่งและทีมช่างจากหลายๆ ทีมที่ไปเข้าร่วมแข่ง ทำให้ได้ประสบการณ์และความรู้เพิ่มขึ้นมากกว่าคนอื่น
-ร่วมงานกับมินิ?
ตั้งแต่ปีค.ศ. 1962 เป็นต้นมา หลังมินิเกิดได้ 3 ปี ความรู้สึกแว่บแรกที่เห็นรถมินิ มั่นใจว่า ชนะได้แน่นอนเพราะโครงสร้างของตัวรถที่เหมาะสม เป็นรถที่มีหน้าสั้น ทำให้การบังคับควบคุมง่าย แต่จะทำอย่างไรถึงจะชนะได้ ต้องคุยกับทีมงาน
และเมื่อได้เข้าแข่งขันจริง มินิก็ไม่ทำให้ใครผิดหวังสามารถนำชัยชนะและเกรียติประวัติมาประดับไว้ในทำเนียบของมินิได้ จนกระทั่งถึงปี 1968 ก็เลิกแข่งขันไปเนื่องจากทางกลุ่มผู้บริหารบริษัทฯ ใหม่ที่เข้ามาดูแลมินินั้นไม่สนใจด้านมอเตอร์สปอร์ต
หลังจากนั้นก็ได้เข้ามาร่วมงานกับ บีเอ็มดับเบิลยู เมื่อปี 1976 จนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อบีเอ็มได้ซื้อกิจการของมินิเข้ามา และมีแผนจะสร้างมินิ ใหม่(ซึ่งคือ มินิ โฉมปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่) ผมก็ได้ร่วมพัฒนาและให้ความเห็นกับทีมวิศวกรผู้สร้างด้วย
-ประสบการณ์ประทับใจ?
ถ้ากับตัวบุคคลก็คือ เซอร์ อเล็ก อิซิสโกนิส ครั้งหนึ่งได้คุยกันบนโต๊ะอาหารถึงเรื่องของช่วงล่างว่าควรเป็นอย่างไร เซอร์ อเล็ก ก็หยิบปากกาออกมาวาดช่วงล่างให้ดู ส่วนผมก็หยิบมาวาดบ้าง โดยเป็นการแลกเปลี่ยนทรรศนะซึ่งกันและกัน ทำให้เห็นได้ชัดว่า เซอร์ อเล็ก เป็นอัจฉริยะจริงๆ
สำหรับการแข่งขันคงเป็นที่ Col du Turini รถของผมกำลังจะออกสตาร์ท แต่คันที่วิ่งออกไปก่อนหน้าดันเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ต้องรอเวลาเคลียร์สนามก่อน ซึ่งระหว่างรออยู่นั้น หิมะ ก็เริ่มตกลงมา เรียกว่า ความซวยมาเยือนแล้ว
ทั้งที่ก่อนจะเริ่มเส้นทางนี้ ผมทำเวลานำอยู่ราว 3 วินาที (ในการแข่งขับแรลลี่ถือว่าเยอะแล้ว) แต่เมื่อออกสตาร์ทไปพร้อมกับวิ่งในเส้นทางหิมะตกหนักช่วงขึ้นเขา ถามเนวิเกเตอร์ร่วมทางเค้าบอกว่า เราช้ากว่าผู้นำตอนนี้ราว 2 นาทีแล้ว
ดังนั้นช่วงลงเขา ผมจึงต้องเร่งมากกว่าปกติ เพื่อทำเวลาให้ดีขึ้น แต่แล้วก็เกิดผิดพลาดขับรถหลุดออกจากถนนที่เป็นทางลงเขา เข้าไปวิ่งอยู่ในป่า ต้องขับบนหิมะหลบหลีกต้นไม้ที่ขวางทางลงอยู่ โดยไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นอะไรเพราะมันขาวไปด้วยหิมะทั้งหมด
แล้วก็เหมือนโชคช่วยโผล่ออกจากป่ามาอีกทีเจอถนนที่เป็นเส้นทางแข่งพอดี ก็เลยขับต่อไปจนเข้าเส้นชัย เวลาชนะคู่แข่งถึง 5 วินาที ถือเป็นความโชคดี เพราะทางที่ขับลงมาเหมือนเป็นทางลัด ซึ่งถ้าสภาพปกติหากหลุดเข้าไปก็คงจอดแต่พอหิมะตกเลยขับต่อไปได้
-พูดถึงการแข่งแรลลี่ปัจจุบัน?
เป็นเรื่องน่าเศร้า(Sad) โดยรวมถือว่าแย่ลงกว่าเมื่อก่อน เป็นแรลลี่แบบเด็กๆ ไปถึงก็นอนโรงแรม แข่งกลางวัน เสร็จวันต่อวันก็พักนอนสบายๆ ถ้าเป็นในอดีตเค้าแข่งกันเป็นเดือนๆ ขับแข่งทั้งวันทั้งคืน ทดสอบสภาพร่างกายและจิตใจ บางครั้งต้องนอนกลางป่าเขา
อย่างไรก็ตามแรลลี่ปัจจุบันก็ยังคงมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่ว่าใครจะมาแข่งแล้วชนะได้ง่ายๆ คุณก็ต้องฝึกฝนและพัฒนาฝีมือไม่ต่างกัน เพียงแค่อาจจะขาดสปิริตและจิตวิญญาณของความหฤโหดไปเท่านั้นเอง
ดังนั้นเมื่อโอกาสเปิด ทีมงาน ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง จึงไม่พลาดเข้าร่วมสัมภาษณ์ ราวน์โน ถึงเรื่องราวและประสบการณ์ของเขากับมินิบนเส้นทางแรลลี่
-เริ่มแข่งได้อย่างไร?
ตั้งแต่อายุ 12 ปี คุณพ่อสนับสนุนให้ทำกิจกรรมและเล่นกีฬา โดยเริ่มจากแข่งเรือเร็วก่อน จากนั้นก็มาแข่งมอเตอร์ไซค์ แต่แข่งไปได้สักพักรู้สึกว่า ขับรถ 2 ล้อมันมีอุบัติเหตุง่ายและบ่อย จึงเปลี่ยนแนวหันมาหารถ 4 ล้อแทน เพราะปลอดภัยกว่า
หลังจากเข้ามาแข่งรถยนต์ก็แข่งทุกประเภททั้ง ทางฝุ่น(แรลลี่)และทางเรียบ(เซอร์กิต) และเมื่อแข่งมาถึงจุดหนึ่งจำเป็นต้องเลือกว่า จะแข่งทางเรียบอย่างเดียวหรือแข่งแต่ทางฝุ่น กลับไปนอนคิดแล้วรู้สึกว่า ตัวเองขับทางเรียบเร็วและถนัดกว่าทางฝุ่น แต่เมื่อคิดดีๆ แล้วทางฝุ่น คู่แข่งน้อยและฝีมือผมเหนือกว่า ขณะที่ทางเรียบคู่แข่งฝืมือพอๆ กัน ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือกแข่งทางฝุ่น เพราะมีโอกาสชนะมากกว่า (ฮา)
ทั้งนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การแข่งทางฝุ่นเหนือกว่า คู่แข่งเพราะความเป็นคน ฟินแลนด์ ด้วยสภาพภูมิประเทศและอากาศที่มีทั้งหิมะน้ำแข็ง ขึ้นเขาสูง ทำให้การขับรถปกติในฟินแลนด์เหมือนอยู่ในสนามแข่งแรลลี่ตลอดเวลา ที่ต้องควบคุมรถในสภาพลื่นไถล ดังนั้นนักแข่งจากฟินแลนด์ทุกคนจึงได้เปรียบคู่แข่งจากประเทศอื่นๆ เพราะเหมือนได้ซ้อมอยู่ตลอดเวลาเมื่อกลับมาขับรถในประเทศตัวเอง
-แรงบันดาลใจ?
มาจากคุณพ่อ ที่ชอบให้เล่นเรือ แล้วเกิดติดใจความสนุก จากการได้เร่งสปีด ประกอบกับความชอบในเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จึงกลายมาเป็นนักแข่ง อย่างไรก็ตามคุณพ่อก็ไม่ให้ทิ้งเรื่องเรียน เดิมตั้งใจจะเรียนวิศวะ แต่คุณพ่อไม่ยอม บังคับให้ไปไฟแนนซ์กับการตลาดและภาษาแทน
ซึ่งผลจากการที่เราได้เรียนภาษา ตามที่พ่อบอกกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเหนือกว่านักแข่งคนอื่นๆ เนื่องจาก ผมสามารถพูดคุยกับนักแข่งและทีมช่างจากหลายๆ ทีมที่ไปเข้าร่วมแข่ง ทำให้ได้ประสบการณ์และความรู้เพิ่มขึ้นมากกว่าคนอื่น
-ร่วมงานกับมินิ?
ตั้งแต่ปีค.ศ. 1962 เป็นต้นมา หลังมินิเกิดได้ 3 ปี ความรู้สึกแว่บแรกที่เห็นรถมินิ มั่นใจว่า ชนะได้แน่นอนเพราะโครงสร้างของตัวรถที่เหมาะสม เป็นรถที่มีหน้าสั้น ทำให้การบังคับควบคุมง่าย แต่จะทำอย่างไรถึงจะชนะได้ ต้องคุยกับทีมงาน
และเมื่อได้เข้าแข่งขันจริง มินิก็ไม่ทำให้ใครผิดหวังสามารถนำชัยชนะและเกรียติประวัติมาประดับไว้ในทำเนียบของมินิได้ จนกระทั่งถึงปี 1968 ก็เลิกแข่งขันไปเนื่องจากทางกลุ่มผู้บริหารบริษัทฯ ใหม่ที่เข้ามาดูแลมินินั้นไม่สนใจด้านมอเตอร์สปอร์ต
หลังจากนั้นก็ได้เข้ามาร่วมงานกับ บีเอ็มดับเบิลยู เมื่อปี 1976 จนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อบีเอ็มได้ซื้อกิจการของมินิเข้ามา และมีแผนจะสร้างมินิ ใหม่(ซึ่งคือ มินิ โฉมปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่) ผมก็ได้ร่วมพัฒนาและให้ความเห็นกับทีมวิศวกรผู้สร้างด้วย
-ประสบการณ์ประทับใจ?
ถ้ากับตัวบุคคลก็คือ เซอร์ อเล็ก อิซิสโกนิส ครั้งหนึ่งได้คุยกันบนโต๊ะอาหารถึงเรื่องของช่วงล่างว่าควรเป็นอย่างไร เซอร์ อเล็ก ก็หยิบปากกาออกมาวาดช่วงล่างให้ดู ส่วนผมก็หยิบมาวาดบ้าง โดยเป็นการแลกเปลี่ยนทรรศนะซึ่งกันและกัน ทำให้เห็นได้ชัดว่า เซอร์ อเล็ก เป็นอัจฉริยะจริงๆ
สำหรับการแข่งขันคงเป็นที่ Col du Turini รถของผมกำลังจะออกสตาร์ท แต่คันที่วิ่งออกไปก่อนหน้าดันเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ต้องรอเวลาเคลียร์สนามก่อน ซึ่งระหว่างรออยู่นั้น หิมะ ก็เริ่มตกลงมา เรียกว่า ความซวยมาเยือนแล้ว
ทั้งที่ก่อนจะเริ่มเส้นทางนี้ ผมทำเวลานำอยู่ราว 3 วินาที (ในการแข่งขับแรลลี่ถือว่าเยอะแล้ว) แต่เมื่อออกสตาร์ทไปพร้อมกับวิ่งในเส้นทางหิมะตกหนักช่วงขึ้นเขา ถามเนวิเกเตอร์ร่วมทางเค้าบอกว่า เราช้ากว่าผู้นำตอนนี้ราว 2 นาทีแล้ว
ดังนั้นช่วงลงเขา ผมจึงต้องเร่งมากกว่าปกติ เพื่อทำเวลาให้ดีขึ้น แต่แล้วก็เกิดผิดพลาดขับรถหลุดออกจากถนนที่เป็นทางลงเขา เข้าไปวิ่งอยู่ในป่า ต้องขับบนหิมะหลบหลีกต้นไม้ที่ขวางทางลงอยู่ โดยไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นอะไรเพราะมันขาวไปด้วยหิมะทั้งหมด
แล้วก็เหมือนโชคช่วยโผล่ออกจากป่ามาอีกทีเจอถนนที่เป็นเส้นทางแข่งพอดี ก็เลยขับต่อไปจนเข้าเส้นชัย เวลาชนะคู่แข่งถึง 5 วินาที ถือเป็นความโชคดี เพราะทางที่ขับลงมาเหมือนเป็นทางลัด ซึ่งถ้าสภาพปกติหากหลุดเข้าไปก็คงจอดแต่พอหิมะตกเลยขับต่อไปได้
-พูดถึงการแข่งแรลลี่ปัจจุบัน?
เป็นเรื่องน่าเศร้า(Sad) โดยรวมถือว่าแย่ลงกว่าเมื่อก่อน เป็นแรลลี่แบบเด็กๆ ไปถึงก็นอนโรงแรม แข่งกลางวัน เสร็จวันต่อวันก็พักนอนสบายๆ ถ้าเป็นในอดีตเค้าแข่งกันเป็นเดือนๆ ขับแข่งทั้งวันทั้งคืน ทดสอบสภาพร่างกายและจิตใจ บางครั้งต้องนอนกลางป่าเขา
อย่างไรก็ตามแรลลี่ปัจจุบันก็ยังคงมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่ว่าใครจะมาแข่งแล้วชนะได้ง่ายๆ คุณก็ต้องฝึกฝนและพัฒนาฝีมือไม่ต่างกัน เพียงแค่อาจจะขาดสปิริตและจิตวิญญาณของความหฤโหดไปเท่านั้นเอง