ข่าวต่างประเทศ - บีเอ็มดับเบิลยู เอจี เตรียมกระตุ้นตลาดรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลในยุโรปครั้งใหม่กับการเปิดตัวรุ่น 320d ใหม่ที่มาพร้อมกับรหัส EfficientDynamics Edition ให้ความประหยัดสุดๆ ด้วยตัวเลขความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 24.1 กิโลเมตร
320d EfficientDynamics Edition ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของรุ่น E90 ตัวถังซีดาน และจะเปิดตัวครั้งแรกในแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 กลางเดือนกันยายนนี้ โดยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซีที่วางอยู่ใต้ฝากระโปรงเป็นบล็อกใหม่ที่ได้รับการผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งเสื้อสูบและฝาสูบ เทอร์โบแปรผัน VNT และระบบคอมมอนเรลที่มากับหัวฉีด Piezo
กำลังขับเคลื่อนถูกปรับลดลง 14 แรงม้าอยู่ในระดับ 163 แรงม้า ที่ 3,500-4,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 36.7 กก.-ม. 1,750-3,000 รอบต่อนาที เมื่อจับคู่กับฟลายวีลแบบ Two-Mass ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดาที่มีอัตราทดช่วงกว้างขึ้น และยางประหยัดน้ำมันของมิชลินรุ่น Michelin EnergySaver ทำให้สามารถลดอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จนมีตัวเลขเฉลี่ย 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 24.1 กิโลเมตร/
นอกจากนั้น ตัวรถยังติดตั้งระบบ EfficientDynamics เข้ามาด้วย เช่น ระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดรถติดอยู่กับที่ หรือ Auto Start Stop, ระบบเปลี่ยนพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรกมาเป็นกระแสไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ หรือ Brake Energy Regeneration และระบบช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า หรือ Electric Power Steering ซึ่งระบบทั้งหมดถูกติดตั้งอยู่ในรถยนต์ซีรีส์ 3 เครื่องยนต์ 4 สูบมาตั้งแต่เดือนกันยายน
ขณะที่สมรรถนะการขับเคลื่อนตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 8.2 วินาที และ 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 9.6 วินาที และความเร็วปลาย 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่มีระดับการปล่อยมลพิษในไอเสียต่ำ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียเพียง 110 กรัมต่อการใช้งาน 1 กิโลเมตร และสามารถผ่านมาตรฐานระดับ EURO 5 ได้
320d EfficientDynamics Edition ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของรุ่น E90 ตัวถังซีดาน และจะเปิดตัวครั้งแรกในแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 กลางเดือนกันยายนนี้ โดยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซีที่วางอยู่ใต้ฝากระโปรงเป็นบล็อกใหม่ที่ได้รับการผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งเสื้อสูบและฝาสูบ เทอร์โบแปรผัน VNT และระบบคอมมอนเรลที่มากับหัวฉีด Piezo
กำลังขับเคลื่อนถูกปรับลดลง 14 แรงม้าอยู่ในระดับ 163 แรงม้า ที่ 3,500-4,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 36.7 กก.-ม. 1,750-3,000 รอบต่อนาที เมื่อจับคู่กับฟลายวีลแบบ Two-Mass ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดาที่มีอัตราทดช่วงกว้างขึ้น และยางประหยัดน้ำมันของมิชลินรุ่น Michelin EnergySaver ทำให้สามารถลดอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จนมีตัวเลขเฉลี่ย 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 24.1 กิโลเมตร/
นอกจากนั้น ตัวรถยังติดตั้งระบบ EfficientDynamics เข้ามาด้วย เช่น ระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดรถติดอยู่กับที่ หรือ Auto Start Stop, ระบบเปลี่ยนพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรกมาเป็นกระแสไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ หรือ Brake Energy Regeneration และระบบช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า หรือ Electric Power Steering ซึ่งระบบทั้งหมดถูกติดตั้งอยู่ในรถยนต์ซีรีส์ 3 เครื่องยนต์ 4 สูบมาตั้งแต่เดือนกันยายน
ขณะที่สมรรถนะการขับเคลื่อนตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 8.2 วินาที และ 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 9.6 วินาที และความเร็วปลาย 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่มีระดับการปล่อยมลพิษในไอเสียต่ำ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียเพียง 110 กรัมต่อการใช้งาน 1 กิโลเมตร และสามารถผ่านมาตรฐานระดับ EURO 5 ได้
