หลังเกิดเหตุภาพหลุดในอินเตอร์เนตได้เพียงไม่กี่วัน ทางด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์จัดการเผยภาพพร้อมรายละเอียดของอี-คลาส แวกอนคันจริงตามออกมาอย่างไม่รอช้า โดยคันจริงพร้อมให้สัมผัสในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 เดือนกันยายนนี้ ก่อนเริ่มขายในยุโรปทันทีในช่วงปลายปีด้วยทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ไม่ต่างจากรุ่นซีดานเท่าไรนัก
รุ่นแวกอน หรือเอสเตท ถือเป็นอีกตัวถังที่อยู่คู่กับสายพันธุ์อี-คลาสมานาน และเริ่มต้นในการทำตลาดตั้งแต่ปี 1977 กับรหัส W123 ก่อนมีการทำตลาดเรื่อยมาทั้ง W124, W210 และ W211 ซึ่งกว่า 30 ปีที่ขายอยู่ในตลาดมีตัวเลขยอดขายสะสมรวมแล้วกว่า 1 ล้านคัน
สำหรับรุ่นที่เปิดตัวใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 5 แชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับรุ่นซีดายในรหัสตัวถัง W212 ที่เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา มิติของตัวรถมีความยาวอยู่ที่ 4,895 มิลลิเมตร กว้าง 1,854 มิลลิเมตร และสูง 1,471 มิลลิเมตร โดยในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกมีการใช้ร่วมกับรุ่นซีดานตั้งแต่ตัวถังด้านหน้าจนถึงเสากลาง ส่วนด้านท้ายตั้งแต่ประตูหลังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างออกไป โดยเน้นที่ความอเนกประสงค์ของการใช้งาน
นอกจากความอเนกประสงค์ของพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร ซึ่งเมื่อพับเบาะหลังลงจะมีความจุในการบรรทุกสัมภาระเพิ่มเป็น 1,950 ลิตรแล้ว ในอี-คลาส แวกอนใหม่ยังมีการติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 แบบพับเก็บได้มาให้ด้วย โดยตัวเบาะนั่งนี้เมื่อกางออกมาจะเป็นการนั่งแบบหันหน้าไปทางด้านหลังรถเหมือนกับที่เคยมีอยู่ในรุ่นแวกอนของ W124 และเมื่อถูกพับเก็บลงไปก็จะแบนราบเป็นระราบเดียวกับพื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายเลย แถมยังมีระบบที่เรียกว่า EASY-PACK ในการเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสัมภาระเข้าหรือออกจากตัวรถอีกด้วย
ในช่วงแรกของการทำตลาด อี-คลาสแวกอนมากับ 6 ทางเลือกของการขับเคลื่อน โดยแบ่งออกเป็นเบนซินที่เริ่มกับรุ่น E 200CGI BlueEFFICIENCY เบนซิน 4 สูบ 1,800 ซีซี เทอร์โบ 183 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ตามด้วย E 250 CGI BlueEFFICIENCY ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่แรงม้าขยับขึ้นมาเป็น 204 ตัวและจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
บล็อกใหญ่เป็นรุ่น E 350 CGI BlueEFFICIENCY ขุมพลังวี6 ที่มีความจุ 3,500 ซีซี มีกำลังขับเคลื่อน 292 แรงม้า และ E500 หรือ E550 สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งวางเครื่องยนต์วี8 5,500 ซีซี 388 แรงม้า ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
สำหรับรุ่นเทอร์โบดีเซลในช่วงแรกมี 2 รุ่นบนพื้นฐานของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,143 ซีซี คือ E 200 CDI BlueEFFICIENCY และ E 250 CDI BlueEFFICIENCY แต่ต่างกันที่จำนวนแรงม้า ซึ่งรุ่นแรกมีตัวเลข 170 และรุ่นหลัง 204 แรงม้า แต่จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเหมือนกัน
อีก 2 รุ่นที่จะมีการเปิดตัวตามหลัง คือ เทอร์โบดีเซลรุ่นใหญ่ E350 CDI BlueEFFICIENCY กับเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซี 211-231 แรงม้า และตัวแรงในรหัส E63AMG วางเครื่องยนต์วี8 6,208 ซีซี 525 แรงม้า
เมอร์เซเดส-เบนซ์เผยว่าหลังเปิดตัวในงานที่แฟรงค์เฟิร์ตแล้ว จะส่งอี-คลาส แวกอนลงสู่ตลาดยุโรปทันทีในช่วงปลายปีนี้ เพื่อเสริมทัพกับรุ่นซีดานและคูเป้ โดยยังไม่มีการเคาะราคาออกมาในตอนนี้
ส่วนรุ่นเปิดประทุนของอี-คลาสที่มีภาพ Spyshot ออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับสเตชันแวกอน คาดว่าน่าจะเปิดตัวออกมาในปี 2010 หรือไม่แน่ อาจจะมีเซอร์ไพรส์เผยโฉมพร้อมกับรุ่นแวกอนในงานแฟรงค์เฟิร์ตนี้เลยก็ได้ เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งค่ายดาว 3 แฉกเผยโฉมทั้งรุ่นซีดานและคูเป้ที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2009 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
รุ่นแวกอน หรือเอสเตท ถือเป็นอีกตัวถังที่อยู่คู่กับสายพันธุ์อี-คลาสมานาน และเริ่มต้นในการทำตลาดตั้งแต่ปี 1977 กับรหัส W123 ก่อนมีการทำตลาดเรื่อยมาทั้ง W124, W210 และ W211 ซึ่งกว่า 30 ปีที่ขายอยู่ในตลาดมีตัวเลขยอดขายสะสมรวมแล้วกว่า 1 ล้านคัน
สำหรับรุ่นที่เปิดตัวใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 5 แชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับรุ่นซีดายในรหัสตัวถัง W212 ที่เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา มิติของตัวรถมีความยาวอยู่ที่ 4,895 มิลลิเมตร กว้าง 1,854 มิลลิเมตร และสูง 1,471 มิลลิเมตร โดยในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกมีการใช้ร่วมกับรุ่นซีดานตั้งแต่ตัวถังด้านหน้าจนถึงเสากลาง ส่วนด้านท้ายตั้งแต่ประตูหลังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างออกไป โดยเน้นที่ความอเนกประสงค์ของการใช้งาน
นอกจากความอเนกประสงค์ของพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร ซึ่งเมื่อพับเบาะหลังลงจะมีความจุในการบรรทุกสัมภาระเพิ่มเป็น 1,950 ลิตรแล้ว ในอี-คลาส แวกอนใหม่ยังมีการติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 แบบพับเก็บได้มาให้ด้วย โดยตัวเบาะนั่งนี้เมื่อกางออกมาจะเป็นการนั่งแบบหันหน้าไปทางด้านหลังรถเหมือนกับที่เคยมีอยู่ในรุ่นแวกอนของ W124 และเมื่อถูกพับเก็บลงไปก็จะแบนราบเป็นระราบเดียวกับพื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายเลย แถมยังมีระบบที่เรียกว่า EASY-PACK ในการเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสัมภาระเข้าหรือออกจากตัวรถอีกด้วย
ในช่วงแรกของการทำตลาด อี-คลาสแวกอนมากับ 6 ทางเลือกของการขับเคลื่อน โดยแบ่งออกเป็นเบนซินที่เริ่มกับรุ่น E 200CGI BlueEFFICIENCY เบนซิน 4 สูบ 1,800 ซีซี เทอร์โบ 183 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ตามด้วย E 250 CGI BlueEFFICIENCY ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่แรงม้าขยับขึ้นมาเป็น 204 ตัวและจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
บล็อกใหญ่เป็นรุ่น E 350 CGI BlueEFFICIENCY ขุมพลังวี6 ที่มีความจุ 3,500 ซีซี มีกำลังขับเคลื่อน 292 แรงม้า และ E500 หรือ E550 สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งวางเครื่องยนต์วี8 5,500 ซีซี 388 แรงม้า ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
สำหรับรุ่นเทอร์โบดีเซลในช่วงแรกมี 2 รุ่นบนพื้นฐานของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,143 ซีซี คือ E 200 CDI BlueEFFICIENCY และ E 250 CDI BlueEFFICIENCY แต่ต่างกันที่จำนวนแรงม้า ซึ่งรุ่นแรกมีตัวเลข 170 และรุ่นหลัง 204 แรงม้า แต่จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเหมือนกัน
อีก 2 รุ่นที่จะมีการเปิดตัวตามหลัง คือ เทอร์โบดีเซลรุ่นใหญ่ E350 CDI BlueEFFICIENCY กับเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซี 211-231 แรงม้า และตัวแรงในรหัส E63AMG วางเครื่องยนต์วี8 6,208 ซีซี 525 แรงม้า
เมอร์เซเดส-เบนซ์เผยว่าหลังเปิดตัวในงานที่แฟรงค์เฟิร์ตแล้ว จะส่งอี-คลาส แวกอนลงสู่ตลาดยุโรปทันทีในช่วงปลายปีนี้ เพื่อเสริมทัพกับรุ่นซีดานและคูเป้ โดยยังไม่มีการเคาะราคาออกมาในตอนนี้
ส่วนรุ่นเปิดประทุนของอี-คลาสที่มีภาพ Spyshot ออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับสเตชันแวกอน คาดว่าน่าจะเปิดตัวออกมาในปี 2010 หรือไม่แน่ อาจจะมีเซอร์ไพรส์เผยโฉมพร้อมกับรุ่นแวกอนในงานแฟรงค์เฟิร์ตนี้เลยก็ได้ เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งค่ายดาว 3 แฉกเผยโฉมทั้งรุ่นซีดานและคูเป้ที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2009 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา