มาเร็วกกว่าที่คิด เพราะนิสสันทิ้งระยะเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นก็ทำให้แฟนๆ ของ Z-Car ที่ต้องเกิดอาการลังเลเพราะเลือกไม่ถูก ด้วยการส่งเวอร์ชันเปิดประทุนพร้อมหลังคาอ่อนแบบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าของ 370Z หรือแฟร์เลดี้ Z เมื่อขายเป็นเวอร์ชัน JDM ในญี่ปุ่น และจะเริ่มขายในตลาดสหรัฐอเมริกาภายในปลายปีนี้
ที่บอกว่ามาเร็วก็เพราะในเจนเนอเรชันที่ 5 หรือการกลับมาอีกครั้งของ Z-Car ที่เปิดตัวในปี 2002 บรรดาแฟนๆ ต้องรอกันนานร่วม 3 ปีกว่าที่จะได้ยลโฉมรุ่นเปิดประทุนของ 350Z ซึ่งมีรหัสตัวถัง Z33 แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้รอกันได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ได้เห็นคันจริงกันแล้ว
ไม่ต่างจากรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่มีพี่น้องร่วมสายพันธุ์ สำหรับรุ่นเปิดประทุนที่จะขายโดยมีคำว่า Roadster พ่วงท้ายชื่อนั้นจะแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับรุ่นคูเป้ซึ่งเป็น Z-Car เจนเนอเรชันที่ 5 และมีรหัสตัวถัง Z34 โดยที่เหมือนกันคือ รายละเอียดของตัวถังด้านหน้าจนถึงผนังเครื่องยนต์ และแผงหน้าปัด ขณะที่ตั้งแต่เสากระจกบังลมหน้าจนถึงด้านท้ายได้รับการออกแบบใหม่ แต่ก็ยังอิงกลิ่นอายของ 370Z คูเป้เอาไว้
มิติตัวถังของ 370Z Roadster มีความยาว 4,246 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,325 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร สั้นกว่ารุ่นคูเป้เกือบ 4 นิ้ว หรือ 101 มิลลิเมตร พร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน หรือ Cd 0.33 โดยมีการกระจายน้ำหนักระหว่างด้านหน้าและหลังที่เกือบได้สมดุล ด้วยตัวเลขอยู่ที่ 54:46% ซึ่งเป็นผลมาจากเลย์เอาท์พื้นตัวถังรุ่น FM ซึ่งเป็นแบบ Front Midship Engine
เสริมหล่อด้วยล้อแม็กจากโรงงานเป็นขนาด 8X18 นิ้วยางขนาด 225/50R18 สำหรับด้านหน้า และ 9X18 นิ้วยางขนาด 245/45R18 สำหรับด้านหลัง โดยมีล้อขนาด 9X19 นิ้วพร้อมยางขนาด 245/40R19 สำหรับด้านหน้า และ 10X19 นิ้วพร้อมยางขนาด 275/35R19 สำหรับด้านหลังเป็นออพชั่นจากโรงงานสำหรับคนที่อยากสวยมากขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีการลดน้ำหนักให้กับตัวรถด้วยการใช้อะลูมิเนียมในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังต่างๆ เช่น ฝากระโปรงหน้า แผงประตู หรือห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย ทำให้ 370Z Roadster มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 1,557 กิโลกรัมในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 1,567 กิโลกรัมในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นจะพบกับขุมพลังบล็อกใหม่ในรหัส VQ37VHR เหมือนกับรุ่นคูเป้ เครื่องยนต์เป็นแบบวี6 ทวินแคม 24 วาล์ว 3,700 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผันที่ควบคุมการทำงานทั้งในเรื่องระยะยก และระยะเวลาในการเปิดเ-ปิดของวาล์ว ซึ่งนิสสันเรียกว่า VVEL-Variable Valve Event and Lift Control System
มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 332 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 36.7 กก.-ม. ที่ 5,200 รอบ/นาที เลือกส่งกำลังผ่านล้อหลังได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะแบบอัตราทดชิด หรืออัตโนมัติ 7 จังหวะ โดยที่เพลากลางผลิตจากวัสดุที่มีน้ำ หนักเบาแต่มีความทนทานอย่างคาร์บอนไฟเบอร์
ในสหรัฐอเมริกามีคิวทำตลาดช่วงปลายปีนี้ และแน่นอนนิสสันคงจะยึดแบบเดิม ด้วยการส่งเวอร์ชัน JDM ของ 370Z Roadster ลงขายในบ้านตัวเองก่อนด้วยชื่อแฟร์เลดี้ Z Roadster ซึ่งตรงนี้แฟนๆ ของ Z-Car บ้านเราจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย จากการสั่งนำเข้าจากผู้ผลิตรายย่อย ไม่ต้องรอนานเหมือนคนอเมริกัน