ข่าวในประเทศ - ฟอร์ด-มาสด้า ไม่หวั่นพิษเศรษฐกิจ เดินหน้าเปิดโรงงานผลิตรถยนต์มูลค่า 17,000 ล้านบาท วานนี้ (13 ก.ค.) ที่จังหวัดระยอง ลั่นกำลังผลิตเพิ่มอีก 100,000 คันต่อปี ประเดิมทำตลาดกับรุ่น “มาสด้า 2” ปลายปีนี้ ก่อนถึงคิว “ฟอร์ด เฟียสต้า” ช่วงไตรมาสแรกปี 2553 หวังชิงส่วนแบ่งตลาดจาก โตโยต้า วิออส และ ฮอนด้า แจ๊ซ

หลังใช้เงินลงทุนไป 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 17,000 ล้านบาท เพื่อขยายการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (บี-คาร์) รุ่นใหม่ ที่โรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ จังหวัดระยอง ล่าสุดวานนี้ (13 ก.ค.) พันธมิตร ฟอร์ด-มาสด้า ได้ฤกษ์ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยนายมาซาฮารุ ยามากิ รองประธานบริหาร มาสด้า คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า โรงงานผลิตรถยนต์นั่งแห่งใหม่นี้จะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจของมาสด้าทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด ทำให้มาสด้าสามารถผลิตรถได้หลากหลายรุ่นในสายการผลิตเดียวกัน
“แม้สถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะเปลี่ยนไปจากช่วงเวลาที่ตัดสินใจลงทุน แต่เรายังมีความเชื่อมั่นว่ารถยนต์ขนาดเล็กที่มีจุดเด่นด้านการประหยัดน้ำมัน เช่น มาสด้า2 จะยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก”
ด้านนาย เดวิด อัลเดน ประธานฟอร์ด อาเซียน กล่าวว่า การขยายโรงงานมูลค่า 17,000 ล้านบาท สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อเอเอทีและประเทศไทย ที่จะมีบทบาทในฐานะศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ของฟอร์ดประจำภูมิภาคนี้
“สำหรับรถยนต์ ฟอร์ด เฟียสต้า ที่ผลิตออกจากโรงงานแห่งใหม่นี้ จะส่งออกไปจำหน่ายทั่วอาเซียน รวมถึง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ด้วย โดยตัวรถจัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือ บี-คาร์เช่นเดียวกับ โตโยต้า วิออส และฮอนด้า แจ๊ซ ที่เป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่อยู่”
นายคิโยทากะ โชบุดะ ประธาน บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อโรงงานดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ จะมีกำลังการผลิตรถยนต์นั่งทั้ง 2 รุ่น คือ มาสด้า 2 และ ฟอร์ด เฟียสต้า จำนวน 100,000 คัน และทำให้กำลังการผลิตรถยนต์ของเอเอทีทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 275,000 คันต่อปี
ปัจจุบันโรงงานของเอเอทีผลิตรถยนต์ในสัดส่วน 60% ของกำลังการผลิตรวมทั้งหมด มีพนักงานประจำอยู่แล้ว 3,000 กว่าคน หากตลาดตอบรับรถยนต์รุ่นใหม่ดังกล่าวเป็นอย่างดี จะส่งผลให้ต้องมีการเพิ่มอัตราการจ้างแรงงานอีกกว่า 2,000 ตำแหน่ง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
“มาสด้า2 จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่จะผลิตในโรงงานแห่งใหม่นี้ และจะสามารถเปิดตัวพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของได้ภายในปีนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามแม้โรงงานจะมีความพร้อมและกำลังการผลิตเหลืออยู่แต่ยังไม่มีแผนการผลิตรถยนต์นั่งรุ่นอื่นๆในช่วงเวลานี้” โชบุดะ กล่าว
หลังใช้เงินลงทุนไป 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 17,000 ล้านบาท เพื่อขยายการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (บี-คาร์) รุ่นใหม่ ที่โรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ จังหวัดระยอง ล่าสุดวานนี้ (13 ก.ค.) พันธมิตร ฟอร์ด-มาสด้า ได้ฤกษ์ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยนายมาซาฮารุ ยามากิ รองประธานบริหาร มาสด้า คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า โรงงานผลิตรถยนต์นั่งแห่งใหม่นี้จะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจของมาสด้าทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด ทำให้มาสด้าสามารถผลิตรถได้หลากหลายรุ่นในสายการผลิตเดียวกัน
“แม้สถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะเปลี่ยนไปจากช่วงเวลาที่ตัดสินใจลงทุน แต่เรายังมีความเชื่อมั่นว่ารถยนต์ขนาดเล็กที่มีจุดเด่นด้านการประหยัดน้ำมัน เช่น มาสด้า2 จะยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก”
ด้านนาย เดวิด อัลเดน ประธานฟอร์ด อาเซียน กล่าวว่า การขยายโรงงานมูลค่า 17,000 ล้านบาท สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อเอเอทีและประเทศไทย ที่จะมีบทบาทในฐานะศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ของฟอร์ดประจำภูมิภาคนี้
“สำหรับรถยนต์ ฟอร์ด เฟียสต้า ที่ผลิตออกจากโรงงานแห่งใหม่นี้ จะส่งออกไปจำหน่ายทั่วอาเซียน รวมถึง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ด้วย โดยตัวรถจัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือ บี-คาร์เช่นเดียวกับ โตโยต้า วิออส และฮอนด้า แจ๊ซ ที่เป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่อยู่”
นายคิโยทากะ โชบุดะ ประธาน บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อโรงงานดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ จะมีกำลังการผลิตรถยนต์นั่งทั้ง 2 รุ่น คือ มาสด้า 2 และ ฟอร์ด เฟียสต้า จำนวน 100,000 คัน และทำให้กำลังการผลิตรถยนต์ของเอเอทีทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 275,000 คันต่อปี
ปัจจุบันโรงงานของเอเอทีผลิตรถยนต์ในสัดส่วน 60% ของกำลังการผลิตรวมทั้งหมด มีพนักงานประจำอยู่แล้ว 3,000 กว่าคน หากตลาดตอบรับรถยนต์รุ่นใหม่ดังกล่าวเป็นอย่างดี จะส่งผลให้ต้องมีการเพิ่มอัตราการจ้างแรงงานอีกกว่า 2,000 ตำแหน่ง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
“มาสด้า2 จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่จะผลิตในโรงงานแห่งใหม่นี้ และจะสามารถเปิดตัวพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของได้ภายในปีนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามแม้โรงงานจะมีความพร้อมและกำลังการผลิตเหลืออยู่แต่ยังไม่มีแผนการผลิตรถยนต์นั่งรุ่นอื่นๆในช่วงเวลานี้” โชบุดะ กล่าว