ข่าวต่างประเทศ - วอลโว่ คาร์ส์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติสวีเดนประกาศแผนเดินหน้ายกระดับพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองสู่การสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ยืนยันเตรียมขึ้นไลน์ผลิตรถยนต์ไฮบริดแบบ PHEV-Plug-in Hybrid Electric Vehicle ออกขายในเชิงพาณิชย์แน่นอนภายในปี 2012 ก่อนมุ่งสู่เป้าหมายสุดท้ายของแผนคือ การผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าหรือ EV ในเวลาต่อมา
แผนการครั้งนี้มีชื่อว่า DRIVe Toward Zero ซึ่งคำว่า DRIVe เป็นรหัสที่วอลโว่นำมาเปิดตลาดรถยนต์ที่เน้นความประหยัดด้วยการนำเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลบล็อกเล็กขนาด 1,600 ซีซีมาวางในรถยนต์ที่ขายอยู่ในตลาด เช่น C30, S40 และ V50 ซึ่งเป้าหมายเบื้องต้นของแผนการนี้คือ การพัฒนารถยนต์ไฮบริดแบบ Plug-in เพื่อส่งขายให้ได้ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
การพัฒนารถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นเรื่องในอันดับต้นๆ ที่ทางวอลโว่ให้ความสนใจอย่างมากตอนนี้ ตามแผนการที่วางเอาไว้รถยนต์ของเราจะได้รับการปรับปรุงเพื่อลดระดับการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงเป้าหมายสูงสุดคือการผลิตรถยนต์ที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อมในขณะใช้งาน สตีเฟน โอเดลล์ ประธานและซีอีโอของวอลโว่ คาร์ส์กล่าว
โปรเจ็กต์นี้ได้รับความร่วมมือจากทาง Vattenfall ผู้ให้บริการด้านพลังงานของสวีเดน และเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่จะช่วยผลักดันโครงการนี้ให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งผลผลิตแรกจาก DRIVe Toward Zero คือ ต้นแบบที่เป็น PHEV ที่ใช้วอลโว่ V70 เป็นแม่แบบ และวางระบบไฮบริดที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อน ส่วนในรุ่นจำหน่ายจริงที่จะเปิดตัวในปี 2012 ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่แกะกล่อง หรือว่าใช้พื้นฐานจากรถยนต์ที่มีอยู่ในตลาด
วอลโว่เปิดเผยว่ารถยนต์ PHEV รุ่นนี้มีจุดเด่นตรงที่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวก็ได้จากระดับกระแสไฟฟ้าที่เต็มเปี่ยมไปจนถึงประมาณ 71% ของกระแสไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 11.3 kWh จะได้ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งถ้าในชีวิตประจำวันมีการเดินทางด้วยระยะทางที่ไม่ไกล ก็แทบจะไม่ต้องปลุกให้เครื่องยนต์สันดาปภายในลุกขึ้นมาทำงานเลย เรียกว่าเมื่อขับถึงบ้านหรือที่ทำงานก็เสียบปลักเข้ากับที่ชาร์จในบ้านก็สามารถเดินทางต่อได้แล้ว
แต่ถ้าต้องการเดินทางด้วยระยะทางที่มากกว่านั้น เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลก็จะเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อน และระบบจะมีรูปแบบการทำงานเหมือนเครื่องยนต์ไฮบริดทั่วไป ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะชาร์จกระแส ไฟฟ้าเข้ามาชดเชยในแบตเตอรี่เมื่อมีการเบรกหรือถอนคันเร่ง รวมถึงสามารถดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่ โดยตัวรถมีระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 50 กรัมต่อการใช้งาน 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงการเปิดตัวของรถยนต์แบบ PHEV วอลโว่วางแผนในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยลดมลพิษและเพิ่มความประหยัดน้ำมัน เช่น เครื่องยนต์เบนซินแบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน หรือ GTDi ซึ่งวางอยู่ในรถยนต์รุ่นปี 2009 และมีความประหยัดน้ำมันดีขึ้นจากเครื่องยนต์ปกติที่มีความจุเท่ากันถึง 20-30%
ตามด้วยการนำระบบ Start/Stop มาติดตั้งในรถยนต์กลุ่ม DRIVe ซึ่งจะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ เพราะว่าตัวรถสามารถดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่ และจะเริ่มใช้ในปี 2011 ซึ่งวอลโว่จะเรียกรถยนต์ที่ติดตั้งระบบนี้ว่า Micro Hybrid จากนั้นก็จะเดินหน้าสู่เป้าหมายสุดท้าย คือ การผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งตอนนี้ทีมวิศวกรของวอลโว่กำลังพัฒนาอยู่
แผนการครั้งนี้มีชื่อว่า DRIVe Toward Zero ซึ่งคำว่า DRIVe เป็นรหัสที่วอลโว่นำมาเปิดตลาดรถยนต์ที่เน้นความประหยัดด้วยการนำเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลบล็อกเล็กขนาด 1,600 ซีซีมาวางในรถยนต์ที่ขายอยู่ในตลาด เช่น C30, S40 และ V50 ซึ่งเป้าหมายเบื้องต้นของแผนการนี้คือ การพัฒนารถยนต์ไฮบริดแบบ Plug-in เพื่อส่งขายให้ได้ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
การพัฒนารถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นเรื่องในอันดับต้นๆ ที่ทางวอลโว่ให้ความสนใจอย่างมากตอนนี้ ตามแผนการที่วางเอาไว้รถยนต์ของเราจะได้รับการปรับปรุงเพื่อลดระดับการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงเป้าหมายสูงสุดคือการผลิตรถยนต์ที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อมในขณะใช้งาน สตีเฟน โอเดลล์ ประธานและซีอีโอของวอลโว่ คาร์ส์กล่าว
โปรเจ็กต์นี้ได้รับความร่วมมือจากทาง Vattenfall ผู้ให้บริการด้านพลังงานของสวีเดน และเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่จะช่วยผลักดันโครงการนี้ให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งผลผลิตแรกจาก DRIVe Toward Zero คือ ต้นแบบที่เป็น PHEV ที่ใช้วอลโว่ V70 เป็นแม่แบบ และวางระบบไฮบริดที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อน ส่วนในรุ่นจำหน่ายจริงที่จะเปิดตัวในปี 2012 ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่แกะกล่อง หรือว่าใช้พื้นฐานจากรถยนต์ที่มีอยู่ในตลาด
วอลโว่เปิดเผยว่ารถยนต์ PHEV รุ่นนี้มีจุดเด่นตรงที่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวก็ได้จากระดับกระแสไฟฟ้าที่เต็มเปี่ยมไปจนถึงประมาณ 71% ของกระแสไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 11.3 kWh จะได้ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งถ้าในชีวิตประจำวันมีการเดินทางด้วยระยะทางที่ไม่ไกล ก็แทบจะไม่ต้องปลุกให้เครื่องยนต์สันดาปภายในลุกขึ้นมาทำงานเลย เรียกว่าเมื่อขับถึงบ้านหรือที่ทำงานก็เสียบปลักเข้ากับที่ชาร์จในบ้านก็สามารถเดินทางต่อได้แล้ว
แต่ถ้าต้องการเดินทางด้วยระยะทางที่มากกว่านั้น เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลก็จะเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อน และระบบจะมีรูปแบบการทำงานเหมือนเครื่องยนต์ไฮบริดทั่วไป ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะชาร์จกระแส ไฟฟ้าเข้ามาชดเชยในแบตเตอรี่เมื่อมีการเบรกหรือถอนคันเร่ง รวมถึงสามารถดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่ โดยตัวรถมีระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 50 กรัมต่อการใช้งาน 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงการเปิดตัวของรถยนต์แบบ PHEV วอลโว่วางแผนในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยลดมลพิษและเพิ่มความประหยัดน้ำมัน เช่น เครื่องยนต์เบนซินแบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน หรือ GTDi ซึ่งวางอยู่ในรถยนต์รุ่นปี 2009 และมีความประหยัดน้ำมันดีขึ้นจากเครื่องยนต์ปกติที่มีความจุเท่ากันถึง 20-30%
ตามด้วยการนำระบบ Start/Stop มาติดตั้งในรถยนต์กลุ่ม DRIVe ซึ่งจะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ เพราะว่าตัวรถสามารถดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่ และจะเริ่มใช้ในปี 2011 ซึ่งวอลโว่จะเรียกรถยนต์ที่ติดตั้งระบบนี้ว่า Micro Hybrid จากนั้นก็จะเดินหน้าสู่เป้าหมายสุดท้าย คือ การผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งตอนนี้ทีมวิศวกรของวอลโว่กำลังพัฒนาอยู่