ข่าวต่างประัเทศ - จีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส พี่เบิ้มของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันจ่อคิวเตรียมเป็นบริษัทรถยนต์แห่งต่อไปที่จะต้องประกาศล้มละลาย หลังจากที่ทางบริษัทประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2009 ออกมาแล้ว พบว่าขาดทุนสูงถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 210,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกือบเท่าตัว
จากการขาดทุนในครั้งนี้ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะถึงคราวล่มของจีเอ็ม เพราะว่าจีเอ็มจัดการผลาญเงินกู้ของทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ให้ไปรวมกันเป็นจำนวน 15,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 539,000 ล้านบาทจนเกือบหมดแล้ว เพราะการขาดทุนครั้งนี้เชื่อว่าจีเอ็มใช้เงินก้อนนี้ไปแล้วเป็นจำนวน 10,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 357,000 ล้านบาท
ก่อนหน้าที่จะได้รับเงินกู้ก้อนนี้ทางจีเอ็มบอกว่า หากจะให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้ชนิดที่อยู่รอดได้ รัฐบาลจะต้องให้เงินกู้เพิ่มอีกจำนวน 11.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 406,000 ล้านบาท
จากสภาพการณ์ของตลาดที่มียอดขายลดลงแถมทางสถานบันทางการเงินยังเข้มงวดในเรื่องการปล่อยเงินกู้ ทำให้รายได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2009 ของจีเอ็มลดลงจาก 42,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.47 ล้านล้านบาทมาอยู่ที่ 22,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 784,000 ล้านบาท หรือลดลงถึง 47% โดยทางจีเอ็มเผยว่า รายได้ของทุกตลาดในทุกภูมิภาคทั่วโลกมีตัวเลขลดลง โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งส่วนแบ่งในตลาดของจีเอ็มลดลงมาอยู่ที่ 17.9% เท่านั้น
นอกจากนั้น อีกปัญหาที่เร่งด่วนของจีเอ็มในตอนนี้คือ ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นเส้นตายที่ทางจีเอ็มกับบรรดาเจ้าหนี้จะต้องหาทางออกในการจัดการสางปัญหา โดยจะยอมแปรเปลี่ยนหนี้ไปเป็นหุ้นของบริษัท หรือว่าจะยอมยื่นล้มละลายตามมาตราที่ 11 เหมือนกับที่ไครสเลอร์ แอลแอลซีทำไปก่อนหน้านี้ และบรรดานักวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์ส่วนใหญ่เชื่อว่า จีเอ็มไม่น่าจะฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปได้
สำหรับความเคลื่อนไหวในเรื่องการจัดการบริษัทในเครือหลังจากที่ลดจำนวนแบรนด์เหลือเพียงแค่ 4 คือ เชฟโรเลต, แคดิลแล็ก, จีเอ็มซี และบูอิกนั้น ในตอนนี้ทางจีเอ็มกำลังเจรจากับเรโนลต์แห่งฝรั่งเศสเพื่อขายกิจการของแซทเทิร์น โดยทางเรโนลต์ต้องการใช้แซทเทิร์นเป็นใบเบิกทางสำหรับการเข้าสู่ตลาดอเมริกาเหนือ โดยอาศัยเครือข่ายดีลเลอร์ของแซทเทิร์นในการเพิ่มความง่ายในการเข้าสู่ตลาด
นอกจากเรโนลต์ ยังมีรายงานว่าทางโรเจอร์ เพนสกี้ เจ้าของทีมรถแข่ง Penske และเป็นดีลเลอร์รายใหญ่ของเชฟโรเลตในสหรัฐอเมริกา ก็เป็นนายทุนอีกรายที่ให้ความสนใจในการเข้าเทคโอเวอร์กิจการของแซทเทิร์น
จากการขาดทุนในครั้งนี้ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะถึงคราวล่มของจีเอ็ม เพราะว่าจีเอ็มจัดการผลาญเงินกู้ของทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ให้ไปรวมกันเป็นจำนวน 15,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 539,000 ล้านบาทจนเกือบหมดแล้ว เพราะการขาดทุนครั้งนี้เชื่อว่าจีเอ็มใช้เงินก้อนนี้ไปแล้วเป็นจำนวน 10,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 357,000 ล้านบาท
ก่อนหน้าที่จะได้รับเงินกู้ก้อนนี้ทางจีเอ็มบอกว่า หากจะให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้ชนิดที่อยู่รอดได้ รัฐบาลจะต้องให้เงินกู้เพิ่มอีกจำนวน 11.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 406,000 ล้านบาท
จากสภาพการณ์ของตลาดที่มียอดขายลดลงแถมทางสถานบันทางการเงินยังเข้มงวดในเรื่องการปล่อยเงินกู้ ทำให้รายได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2009 ของจีเอ็มลดลงจาก 42,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.47 ล้านล้านบาทมาอยู่ที่ 22,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 784,000 ล้านบาท หรือลดลงถึง 47% โดยทางจีเอ็มเผยว่า รายได้ของทุกตลาดในทุกภูมิภาคทั่วโลกมีตัวเลขลดลง โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งส่วนแบ่งในตลาดของจีเอ็มลดลงมาอยู่ที่ 17.9% เท่านั้น
นอกจากนั้น อีกปัญหาที่เร่งด่วนของจีเอ็มในตอนนี้คือ ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นเส้นตายที่ทางจีเอ็มกับบรรดาเจ้าหนี้จะต้องหาทางออกในการจัดการสางปัญหา โดยจะยอมแปรเปลี่ยนหนี้ไปเป็นหุ้นของบริษัท หรือว่าจะยอมยื่นล้มละลายตามมาตราที่ 11 เหมือนกับที่ไครสเลอร์ แอลแอลซีทำไปก่อนหน้านี้ และบรรดานักวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์ส่วนใหญ่เชื่อว่า จีเอ็มไม่น่าจะฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปได้
สำหรับความเคลื่อนไหวในเรื่องการจัดการบริษัทในเครือหลังจากที่ลดจำนวนแบรนด์เหลือเพียงแค่ 4 คือ เชฟโรเลต, แคดิลแล็ก, จีเอ็มซี และบูอิกนั้น ในตอนนี้ทางจีเอ็มกำลังเจรจากับเรโนลต์แห่งฝรั่งเศสเพื่อขายกิจการของแซทเทิร์น โดยทางเรโนลต์ต้องการใช้แซทเทิร์นเป็นใบเบิกทางสำหรับการเข้าสู่ตลาดอเมริกาเหนือ โดยอาศัยเครือข่ายดีลเลอร์ของแซทเทิร์นในการเพิ่มความง่ายในการเข้าสู่ตลาด
นอกจากเรโนลต์ ยังมีรายงานว่าทางโรเจอร์ เพนสกี้ เจ้าของทีมรถแข่ง Penske และเป็นดีลเลอร์รายใหญ่ของเชฟโรเลตในสหรัฐอเมริกา ก็เป็นนายทุนอีกรายที่ให้ความสนใจในการเข้าเทคโอเวอร์กิจการของแซทเทิร์น
