ข่าวต่างประเทศ - แม้ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนเพราะยังไม่ถึงเวลาที่ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้การตัดสินใจ แต่ดูเหมือนว่าเฟียตเริ่มมีอาการถอดใจจากการควบกิจการกับทางไครสเลอร์แห่งสหรัฐอเมริกา โดยแย้มแผนสำรอง ในการเบนเข็มไปทางค่ายโอเปิลของจีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์สแทน
แซร์โจ้ มาร์ชิโอนเน่ ซีอีโอและประธานของเฟียต เปิดเผยถึงเรื่องนี้หลังจากที่เขาเคยให้ความเห็นว่าโอกาสที่จะได้รวมกิจการกับไครสเลอร์ แอลแอลซีมีความหวังเพียง 50% เท่านั้นเพราะปัญหาในเรื่องความไม่ลงตัวในการเจรจากับทางสหภาพแรงงานหรือ UAW โดยเขายอมรับว่าตอนนี้แอบเล็งๆ โอเปิลของจีเอ็มเอาไว้เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับทางโอเปิลอย่่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ประธานของเฟียตยังย้ำความมั่นใจให้กับทางไครสเลอร์โดยกล่าวว่า เป้าหมายแรกและสำคัญที่สุดของเขาตอนนี้คือ การจับมือกับทางไครสเลอร์ตามที่เคยมีการตกลงใจและเจรจากันมาตั้งแต่ตอนแรก แม้ว่าตอนนี้ จะมีข่าวว่าทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังจะนำมาตรการที่ 11 เกี่ยวกับล้มละลายมาใช้กับทางไครสเลอร์ก็ตามที โดยวันที่ 1 พฤษภาคม คือ เส้นตายที่สำหรับการรวมกิจการกันระหว่างเฟียตกับไครสเลอร์ที่ทางรัฐบาลขีดเส้นเอาไว้
นอกจากนั้น ทางมาร์ชิโอนเน่ยังกล่าวอีกว่า เฟียตจะเป็นบริษัทที่สามารถอยู่รอดได้ แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกอยู่ในสภาพที่ตกต่ำเพราะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ โดยเขาให้ความเห็นว่า หากบริษัทรถยนต์แห่งไหนต้องการอยู่รอดจะต้องมียอดขายรวมทั่วโลกต่อปีไม่ต่ำกว่า 5.5 ล้านคัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่ายอดขายของเฟียตในปี 2008 ซึ่งอยู่ที่ 2.2 ล้านคันกว่า 2 เท่าตัวเลยทีเดียว
เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กล่าวเอาไว้ หมายความว่ามาร์ชิโอนเน่จะต้องลงทุนเพิ่ม หรือว่าไปควบกิจการของบริษัทรถยนต์อย่างน้อยอีก 2 แห่ง เพราะไม่ว่าจะจับคู่กับไครสเลอร์หรือโอเปิล ตัวเลขก็ยังไม่ทะลุตามหลักที่เขากล่าวเอาไว้ เนื่องจากไครสเลอร์ถูกคาดหมายว่าจะมียอดขายปีนี้เพียงแค่ 1.7 ล้านคันเท่านั้นจากเดิมปี 2008 อยู่ที่ 2 ล้านคัน ส่วนโอเปิลยิ่งหนักกว่า ซึ่งคาดว่ายอดขายทั้งแบรนด์โอเปิลและแบรนด์น้องอย่างวอกซ์ฮอลล์รวมกันในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1.3 ล้านคันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ที่แน่ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการเข้ารวมกิจการกับไครสเลอร์ หรือโอเปิล ทางเฟียตจะเป็นจะต้องขายกิจการบางส่วนของตัวเองออกไป ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็น Case New Holland หรือไม่ก็ Iveco เพื่อนำเงินมาสมทบทุนในการเข้ารวมกิจการ เพราะช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีการเปิดเผยออกมาแล้วว่า เฟียตประสบปัญหาขาดทุนมากถึง 411 ล้านยูโร หรือ 18,400 ล้านบาท และถือเป็นการขาดทุนช่วงไตรมาสแรกของปีเป็นครั้งแรกนับจากปี 2004 ซึ่งช่วงไตรมาสแรกของปีที่แล้ว เฟียตมีกำไรมากถึง 427 ล้านยูโร หรือ 19,000 ล้านบาท
แต่ยังดีที่ระดับเงินสดสำรองในคลังไม่มีปัญหา เพราะมีตัวเลขเพิ่มขึ้นจาก 3,900 ล้านยูโร หรือ 175,500 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 5,100 ล้านยูโร หรือ 229,500 ล้านบาท ปีนี้
แซร์โจ้ มาร์ชิโอนเน่ ซีอีโอและประธานของเฟียต เปิดเผยถึงเรื่องนี้หลังจากที่เขาเคยให้ความเห็นว่าโอกาสที่จะได้รวมกิจการกับไครสเลอร์ แอลแอลซีมีความหวังเพียง 50% เท่านั้นเพราะปัญหาในเรื่องความไม่ลงตัวในการเจรจากับทางสหภาพแรงงานหรือ UAW โดยเขายอมรับว่าตอนนี้แอบเล็งๆ โอเปิลของจีเอ็มเอาไว้เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับทางโอเปิลอย่่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ประธานของเฟียตยังย้ำความมั่นใจให้กับทางไครสเลอร์โดยกล่าวว่า เป้าหมายแรกและสำคัญที่สุดของเขาตอนนี้คือ การจับมือกับทางไครสเลอร์ตามที่เคยมีการตกลงใจและเจรจากันมาตั้งแต่ตอนแรก แม้ว่าตอนนี้ จะมีข่าวว่าทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังจะนำมาตรการที่ 11 เกี่ยวกับล้มละลายมาใช้กับทางไครสเลอร์ก็ตามที โดยวันที่ 1 พฤษภาคม คือ เส้นตายที่สำหรับการรวมกิจการกันระหว่างเฟียตกับไครสเลอร์ที่ทางรัฐบาลขีดเส้นเอาไว้
นอกจากนั้น ทางมาร์ชิโอนเน่ยังกล่าวอีกว่า เฟียตจะเป็นบริษัทที่สามารถอยู่รอดได้ แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกอยู่ในสภาพที่ตกต่ำเพราะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ โดยเขาให้ความเห็นว่า หากบริษัทรถยนต์แห่งไหนต้องการอยู่รอดจะต้องมียอดขายรวมทั่วโลกต่อปีไม่ต่ำกว่า 5.5 ล้านคัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่ายอดขายของเฟียตในปี 2008 ซึ่งอยู่ที่ 2.2 ล้านคันกว่า 2 เท่าตัวเลยทีเดียว
เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กล่าวเอาไว้ หมายความว่ามาร์ชิโอนเน่จะต้องลงทุนเพิ่ม หรือว่าไปควบกิจการของบริษัทรถยนต์อย่างน้อยอีก 2 แห่ง เพราะไม่ว่าจะจับคู่กับไครสเลอร์หรือโอเปิล ตัวเลขก็ยังไม่ทะลุตามหลักที่เขากล่าวเอาไว้ เนื่องจากไครสเลอร์ถูกคาดหมายว่าจะมียอดขายปีนี้เพียงแค่ 1.7 ล้านคันเท่านั้นจากเดิมปี 2008 อยู่ที่ 2 ล้านคัน ส่วนโอเปิลยิ่งหนักกว่า ซึ่งคาดว่ายอดขายทั้งแบรนด์โอเปิลและแบรนด์น้องอย่างวอกซ์ฮอลล์รวมกันในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1.3 ล้านคันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ที่แน่ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการเข้ารวมกิจการกับไครสเลอร์ หรือโอเปิล ทางเฟียตจะเป็นจะต้องขายกิจการบางส่วนของตัวเองออกไป ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็น Case New Holland หรือไม่ก็ Iveco เพื่อนำเงินมาสมทบทุนในการเข้ารวมกิจการ เพราะช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีการเปิดเผยออกมาแล้วว่า เฟียตประสบปัญหาขาดทุนมากถึง 411 ล้านยูโร หรือ 18,400 ล้านบาท และถือเป็นการขาดทุนช่วงไตรมาสแรกของปีเป็นครั้งแรกนับจากปี 2004 ซึ่งช่วงไตรมาสแรกของปีที่แล้ว เฟียตมีกำไรมากถึง 427 ล้านยูโร หรือ 19,000 ล้านบาท
แต่ยังดีที่ระดับเงินสดสำรองในคลังไม่มีปัญหา เพราะมีตัวเลขเพิ่มขึ้นจาก 3,900 ล้านยูโร หรือ 175,500 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 5,100 ล้านยูโร หรือ 229,500 ล้านบาท ปีนี้
