xs
xsm
sm
md
lg

ชอบลุย อยากชิล “ปาเจโร สปอร์ต4WD” จัดให้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ปาเจโร สปอร์ต” ตัวตายตัวแทนของโมเดลขายดี “จี-วากอน” แห่งค่ายมิตซูบิชิ หลังจากเปิดตัวมาพร้อมกับชื่อใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากเหล่าสาวกทรี ไดมอนด์ ซึ่งเฝ้ารอการกลับมาทำตลาดอีกครั้งของรถสายพันธุ์นี้ พิสูจน์ได้จากการพบเห็นเจ้าปาเจโร สปอร์ต วิ่งบนท้องถนนอยู่เป็นเนืองๆ

สำหรับมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” เคยนำเสนอบททดสอบแล้วถึง 2 ครั้ง แต่คราวนี้จะแตกต่างไปจากเดิมคือ เราจะเน้นไปที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกับการเดินทางไกล ไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงราย ผ่านเส้นทางที่มีทั้งทางตรงเรียบยาว, ขึ้น-ลงภูเขา, โค้งแล้วโค้งอีกของขุนเขาแดนเหนือของไทย

การเดินทางของเราเริ่มด้วยน้ำมันเต็มถังจากมิตซูบิชิสำนักงานใหญ่ ย่านคลองหลวง ปทุมธานี มุ่งหน้าสู่อยุธยา เป้าหมายแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ขุมพลัง 165 แรงม้าจากเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล DI-D ขนาด 3.2 ลิตร และแรงบิดสูงสุด 351 นิวตันเมตร เหลือเฟือสำหรับการนำพาปาเจโร สปอร์ตทะยานสู่ความเร็ว 140 กม./ชม.อย่างสบายๆ

ช่วงออกตัวแบบคิกค์ดาวน์จากรถจอดสนิทจะมีบ้างที่รู้สึกเหมือนเครื่องรอรอบ ไม่ปรู๊ดปร๊าด แต่เมื่อตัวรถวิ่งลอยลำแล้ว การคิกค์ดาวน์ในจังหวะเร่งแซงทันใจไร้กังวล โดยเฉพาะการขับแบบทางยาวๆบนถนนสายเอเชียขึ้นเหนือแบบนี้ เราตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เลือกเอา เจ้าปาเจโร สปอร์ตมาเป็นคู่ใจในการเดินทาง

เนื่องจาก ทัศนวิสัยในการขับขี่และความสะดวกสบายจากห้องโดยสารอันกว้างขวางเพียงพอรองรับครอบครัวขนาดผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 พร้อมสัมภาระชุดใหญ่ได้อย่างครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง และระหว่างการเดินทางเราสังเกตเพื่อนร่วมเดินทางของเราระหว่างขาขึ้น พบปาเจโร สปอร์ตถึง 3 คัน แต่คงจะเทียบไม่ได้กับการเห็นโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์วิ่ง เพราะขายมานานกว่าและถือว่าเป็นเจ้าตลาดอยู่

เราขับแบบรวดเดียวมาถึงจุดแวะพักแรกที่จังหวัดลำปาง ยังคงความรู้สึกสบาย ไม่เมื่อยหรือล้าแต่อย่างใด และเติมน้ำมันหลังจากวิ่งมาทั้งหมด 556 กม. ด้วยความเร็วการขับส่วนใหญ่ราว 120-140 กม./ชม. ใช้น้ำมันไปปทั้งสิ้น 56 ลิตร คิดเป็นอัตราบริโภคประมาณ 9.93 กม./ลิตร

การเดินทางช่วงต่อมาเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ จุดท่องเที่ยวแรกที่ไม่ควรพลาดการแวะคือ พระธาตุดอยสุเทพ เราขับเจ้าปาเจโร สปอร์ต โดยใช้โหมดขับเคลื่อน 2 ล้อเพื่อขึ้นเขาไปนมัสการองค์พระธาตุ ไม่มีปัญหาใดๆ พละกำลังไต่เขาเหลือเฟือ บางช่วงเราสลับมาลองขับโหมดแบบเกียร์ธรรมดา ใช้คันเกียร์โยกบวก-ลบ สนุกและอุ่นใจจากการเรียกกำลังที่พอเหมาะกับจังหวะการใช้งาน

เหนืออื่นใดโหมดเกียร์ธรรมดาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการขับรถเวลาลงเขา เพราะหากเราขับลงโดยเหยียบเบรกเพียงอย่างเดียว อาจจะเกิดเหตุเบรกไหม้ ทำให้รถเบรกไม่อยู่นำไปสู่อุบัติเหตุได้ ฉะนั้นการใช้โหมดเกียร์ธรรมดา เพื่อล็อกไม่ให้รถเปลี่ยนเกียร์เองโดยอัตโนมัติ(หรือ การใช้เอนจินท์ เบรก) จึงสำคัญ ซึ่งระบบเกียร์ Super Select 4WDS (SS4)ของเจ้าปาร์เจโร่ สปอร์ต ทำได้ดีอย่างไร้ที่ติ


ต่อมาเราเดินทางต่อเข้าไปสู่เชียงดาว ดอยอ่างข่างไปเยี่ยมชมสถานีทดลองเพาะพันธ์พืช, เลาะทิวเขาขึ้นดอยตุง และขับต่อไปจนถึงแม่สาย โดยการเดินทางช่วงนี้เราทดลองใช้โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ รู้สึกว่าเวลารถวิ่งทางตรงจะหนืดกว่าแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ส่วนจังหวะการเข้าโค้งไม่ว่าจะขึ้นหรือลงเขาไม่แตกต่างกัน ความเร็วการวิ่งไม่เกิน 100 กม./ชม. ยิ่งบางช่วงเป็นโค้งขึ้น-ลงเขา วิ่ง 20 กม./ชม. ก็ถือว่าเร็วแล้ว

ส่วนจังหวะของการควบคุมพวงมาลัยแม่นยำ ไม่หนักมือ การปรับเปลี่ยนเกียร์สอดประสานอย่างลงตัว เทคโนโลยีด้านระบบขับเคลื่อนที่มิตซูบิชิใส่มาในปาเจโร สปอร์ต เราใช้อย่างครบถ้วน ดูแล้วหากเราซื้อเองถือว่าคุ้มค่ามาก เนื่องได้ใช้งานในสิ่งที่เราเสียเงินไป อันเป็นเรื่องถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ (แต่ขอเว้นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยบางชิ้นเช่น “ถุงลมนิรภัย” แม้จ่ายเงินไปอย่างไรก็ไม่เคยอยากใช้เลย)

เมื่อถามผู้โดยสารตอนหลังว่า มีความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบกลับมาว่า ปกติดี ไม่เวียนหัว หรือรู้สึกกระเด้งแต่อย่างใด ช่วงล่างดูดซับแรงสะเทือนไว้เป็นอย่างดี นั่งสบายตลอดการเดินทางที่ผ่านมาราว 1,000 กิโมเมตร

ในการเดินทางระหว่างดอยสู่ดอย เราเติมน้ำมันครั้งที่ 2 หลังจากวิ่งผ่านตัวเลข 545 กม. ตามการวัดระยะทางที่เรือนไมล์ โดยช่วงตลุยยอดดอย ที่ใช้โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ มีบางช่วงสลับขับ 2 บ้างเล็กน้อย เติมน้ำมันดีเซล B5 ไป 58.6 ลิตร เติม คิดเป็นอัตราบริโภคเฉลี่ย 9.3 กม./ลิตร ถือว่า ดูดีทีเดียว

เมื่อเจ้าปาเจโร สปอร์ตพาเราเที่ยวกันจนหนำใจแบบสุขกาย สบายใจก็ถึงเวลาขับกลับ โดยเราเลือกวิ่งยาวรวดเดียวถึงที่พักอีกครั้งเหมือนตอนขามา แต่ทว่าขากลับเราต้องขับเวลากลางคืน ทำให้พบว่า แม้ถนนจะไร้แสงไฟแต่แสงส่องสว่างจากไฟหน้าที่มิตซูบิชิให้มาไว้กับปาเจโร สปอร์ต เพียงพอสร้างความอุ่นใจตลอดการขับ

ซึ่งในระหว่างนี้เราเติมน้ำมันเป็นครั้งที่ 3 เติมดีเซล B2 ไปจำนวน 33.85 ลิตรจากการวิ่ง 355 กม. คิดเป็นอัตราบริโภคเฉลี่ย 10.48 กม./ลิตร กับการวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 120-140 กม./ชม.

สรุป หลังเดินทางร่วมกันกับเจ้ามิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ตขับเคลื่อน 4 ล้อ มากว่าพันกิโลเมตรตลอดระยะเวลา 4 วันบนถนนทางยาวๆ และโค้งนับพันของทิวเขายอดดอยเลื่องชื่อในเมืองไทย คงไม่มีคำพูดใดดีเท่ากับคำว่า “ประทับใจมาก” และหากคุณเป็นนักเดินทางชอบเที่ยวพร้อมคนอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 คน ปาเจโร สปอร์ต คือตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามด้วยประการทั้งปวง









กำลังโหลดความคิดเห็น