ข่าวต่างประเทศ - เฟียต ออโต้ ยืนยันการจับมือกับไครสเลอร์ แอลแอลซี เพื่อเป็นพันธมิตรทางด้านธุรกิจนั้น ไม่ได้เข้ามากอบโกยเงินทุนที่ทางไครสเลอร์ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างที่เป็นข่าว แต่เป็นการเข้ามาช่วยเหลือ และเป็นการสร้างโอกาสที่จะทำให้ไครสเลอร์สามารถฟื้นฟูกิจการได้อย่างรวดเร็ว
แซร์โจ้ มาร์ชิโอนเน่ ซีอีโอของเฟียต กล่าวหลังจากที่เข้าร่วมประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งกับทีมผู้บริหารของกระทรวงการคลังของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามาว่า การแลกเปลี่ยนระหว่างเทคโนโลยีของเฟียตกับหุ้นจำนวน 35% และการอาศัยเครือข่ายจำหน่ายและโรงงานผลิตของไครสเลอร์ ถือเป็นเรื่องของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยที่ไม่มีเรื่องของเงินสดเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์กัน และการพึ่งพาจุดเด่นของกันและกันระหว่างเฟียตกับไครสเลอร์จะมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูกิจการอย่างรวดเร็
"การพูดคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องของการมองหาลู่ทางและการรับทราบถึงโครงร่างคร่าวๆ ว่าการจับมือเป็นพันธมิตรจะเป็นอย่างไร และหลังจากที่ทุกอย่างประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราและไครสเลอร์จะเป็นอย่างไร และเราเชื่อว่าคำตอบที่จะได้รับในช่วงสิ้นเดือนนี้น่าจะเป็นข่าวดี" มาร์ชิโอนเน่กล่าว
หลังจากมีข่าวว่าเฟียต และไครสเลอร์ประกาศเตรียมรวมกิจการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องที่เฟียตอาจจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ที่จะได้รับจากเงินกู้ฉุกเฉินที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้กับทางไครสเลอร์
"มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีอะไรถูกนำออกไปจากแผ่นดินของสหรัฐอเมริกา และเป้าหมายหลักของการจับมือในครั้งนี้คือการจ่ายคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ของผู้เสียภาษีกลับไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้"ผู้บริหารของเฟียตกล่าว
เซอร์เบอรุส แมเนจเมนต์ผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวนกว่า 80% ของไครสเลอร์ แอลแอลซีระบุว่า บริษัทจะเฉือนหุ้นจำนวน 35% ของไครสเลอร์ให้กับเฟียตเพื่อแลกกับการร่วมแชร์ในด้านเทคโนโลยี การผลิต และการบริหารจัดการ ซึ่งนั่นทำให้สัดส่วนของการถือหุ้นในไครสเลอร์ แอลซีซีมีสัดส่วนอยู่ที่ 45.1% สำหรับเซอร์เบอรุส, 35% สำหรับเฟียต และอีก 19.9% สำหรับเดมเลอร์
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้เฟียตมีลู่ทางในการเจาะตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาโดยอาศัยดีลเลอร์และโรงงานผลิตของไครสเลอร์ในการนำรถยนต์รุ่นหลักอย่างเฟียต 500 และรถยนต์ของแบรนด์อัลฟากลับเข้ามาขายในเมืองลุงแซม
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาแล้ว แม้ว่าทั้งคู่จะสามารถตกลงกันได้ในเรื่องความร่วมมือในขั้นต้น แต่ทว่าการร่วมมือครั้งนี้จะต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปให้ได้ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
แซร์โจ้ มาร์ชิโอนเน่ ซีอีโอของเฟียต กล่าวหลังจากที่เข้าร่วมประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งกับทีมผู้บริหารของกระทรวงการคลังของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามาว่า การแลกเปลี่ยนระหว่างเทคโนโลยีของเฟียตกับหุ้นจำนวน 35% และการอาศัยเครือข่ายจำหน่ายและโรงงานผลิตของไครสเลอร์ ถือเป็นเรื่องของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยที่ไม่มีเรื่องของเงินสดเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์กัน และการพึ่งพาจุดเด่นของกันและกันระหว่างเฟียตกับไครสเลอร์จะมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูกิจการอย่างรวดเร็
"การพูดคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องของการมองหาลู่ทางและการรับทราบถึงโครงร่างคร่าวๆ ว่าการจับมือเป็นพันธมิตรจะเป็นอย่างไร และหลังจากที่ทุกอย่างประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราและไครสเลอร์จะเป็นอย่างไร และเราเชื่อว่าคำตอบที่จะได้รับในช่วงสิ้นเดือนนี้น่าจะเป็นข่าวดี" มาร์ชิโอนเน่กล่าว
หลังจากมีข่าวว่าเฟียต และไครสเลอร์ประกาศเตรียมรวมกิจการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องที่เฟียตอาจจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ที่จะได้รับจากเงินกู้ฉุกเฉินที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้กับทางไครสเลอร์
"มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีอะไรถูกนำออกไปจากแผ่นดินของสหรัฐอเมริกา และเป้าหมายหลักของการจับมือในครั้งนี้คือการจ่ายคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ของผู้เสียภาษีกลับไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้"ผู้บริหารของเฟียตกล่าว
เซอร์เบอรุส แมเนจเมนต์ผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวนกว่า 80% ของไครสเลอร์ แอลแอลซีระบุว่า บริษัทจะเฉือนหุ้นจำนวน 35% ของไครสเลอร์ให้กับเฟียตเพื่อแลกกับการร่วมแชร์ในด้านเทคโนโลยี การผลิต และการบริหารจัดการ ซึ่งนั่นทำให้สัดส่วนของการถือหุ้นในไครสเลอร์ แอลซีซีมีสัดส่วนอยู่ที่ 45.1% สำหรับเซอร์เบอรุส, 35% สำหรับเฟียต และอีก 19.9% สำหรับเดมเลอร์
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้เฟียตมีลู่ทางในการเจาะตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาโดยอาศัยดีลเลอร์และโรงงานผลิตของไครสเลอร์ในการนำรถยนต์รุ่นหลักอย่างเฟียต 500 และรถยนต์ของแบรนด์อัลฟากลับเข้ามาขายในเมืองลุงแซม
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาแล้ว แม้ว่าทั้งคู่จะสามารถตกลงกันได้ในเรื่องความร่วมมือในขั้นต้น แต่ทว่าการร่วมมือครั้งนี้จะต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปให้ได้ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
