พระนครยนตรการ เดินเครื่องเสริมความแกร่งให้ทุกธุรกิจในไลน์ ทั้งดีลเลอร์ รถเช่า โรงงานประกอบรถยนต์บางชัน รวมถึงการเป็นดิสทริบิวเตอร์รถ 3 ยี่ห้อทั้ง “โปรตอน” “เฟียต” “อัลฟ่า โรเมโอ” โดยค่ายแรกเตรียมเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ 2 รุ่น ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง ที่จะมาในช่วงไตรมาสสาม พร้อมกันนี้ยังเตรียมฟื้นแบรนด์เฟียต ด้วยการส่งซิตี้คาร์รุ่น 500 ประเดิมตลาด หลังปล่อยให้เกรย์มาร์เก็ตชิงกวาดยอดขายไปร่วมปี งานนี้บิ๊กบอส “ธวัชชัย”ยอมรับราคาไม่ต่างกัน แต่ลูกค้าจะได้ความเชื่อมั่นจากอะไหล่และบริการหลังการขาย จากนั้นปิดท้ายปีด้วย อัลฟ่า มี.ตู สปอร์ตคาร์ ไซส์เล็ก ที่จะมาท้าชนกับ“มินิ” ด้วยเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบ 155 แรงม้า คาดราคาประมาณ 3 ล้านบาท
จากอดีตที่เคยเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลายยี่ห้อ ผ่านมรสุม-สุขสม กับไดฮัทสุ ฮุนได โฮลเด้น โอเปิ้ล และล่าสุดกับ“โปรตอน”จากมาเลเซีย....พระนครยนตรการหรือ PNA ในวันนี้ยังเพียบด้วยสรรพกำลัง เครือข่ายเข้มแข็งครบวงจร และพร้อมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไทยอีกครั้ง!?
พระนครยนตรการมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก โดยแตกไลน์ธุรกิจสนับสนุนซึ่งกันละกันไล่เรียงตั้งแต่ การเป็นดีลเลอร์ อีซูซุ ฮอนด้า เชฟโรเลต กับโชว์รูมรวมกันมากกว่า 20 แห่ง และโรงงานประกอบรถยนต์บางชัน ที่ตอนนี้รับทำหลายโปรเจกท์ร่วมกับบริษัทรถยนต์ ซึ่งรวมถึง โครงการ One Roof Centre ศูนย์ปฏิบัติการด้านบริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเซ็นสัญญากันยาว 10 ปี
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรถเช่า บริษัทไฟแนนซ์ บริษัทขายรถล็อตใหญ่(Fleet)ให้ส่วนราชการ และบทบาทสำคัญอย่างการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการรถยนต์โปรตอน เฟียต และ อัลฟ่าโรเมโอ โดยยี่ห้อแรกทำตลาดผ่านบริษัท พระนครโอโตเซลส์ ส่วนสองยี่ห้อหลังเป็น ไทยเพรสทีส ออโต้ เซลส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ
ในส่วนของโปรตอนที่กำลังฮิตติดลมบน กับกระแสเก๋งเล็กมาแรงในปีที่แล้ว โดย แซฟวี นีโอ เจน-ทู และเพอร์โซนา ช่วยกันทำยอดขายรวมกันถึง 3,200 คัน มาปีนี้พระนครโอโตเซลส์ ยังรุกตลาดต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่อีก 2 รุ่น ซึ่งโมเดลแรกเป็นเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง รถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุดที่เตรียมเปิดตัวในบ้านเกิดเร็วๆนี้ และจากนั้นจะนำเข้ามาทำตลาดในไทยช่วงไตรมาส 3 ส่วนอีกโมเดลเป็นเก๋งรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน
ประเด็นนี้ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข บอสใหญ่ของค่าย ไม่ได้บอกรายละเอียดของเก๋งรุ่นใหม่ แต่ก็แย้มว่ารถทั้งสองรุ่นจะช่วยเข้ามาเสริมกำลัง พร้อมกับงบการตลาด 100 ล้านบาท อันจะส่งผลให้ยอดขายปีนี้เพิ่มเป็น 4,000 คันได้ไม่ยาก
“ตลาดรวมในประเทศอาจตกลงไปถึง 15% เมื่อเทียบกับปี 2551 ในส่วนรถยนต์นั่งก็อาจลดลงประมาณ 10% แต่เชื่อว่ารถที่เครื่องยนต์ขนาดต่ำกว่า 1,500 ซีซี ยอดขายจะไม่ตกมาก เพราะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ผู้บริโภคจะเปลี่ยนเทรนด์จากรถยนต์ขนาดใหญ่ มาหารถขนาดเล็ก ที่ประหยัดน้ำมัน และค่าซ่อมบำรุงไม่แพง”ธวัชชัยเปิดเผย “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”
นั่นเป็นแผนของโปรดักต์ทองในยุคนี้ของพระนครยนตรการ แต่ในส่วนของรถสัญชาติอิตาลี ที่อยู่คู่กันมานาน อย่างเฟียตและอัลฟ่า โรเมโอ มาปีนี้สาวกก็เตรียมเฮกันดังๆ เมื่อ “ธวัชชัย” เล็งๆเปิดตัวรถใหม่ถึง 2 รุ่น
เริ่มกับ เฟียต กับซิตี้คาร์รุ่น 500 ที่เปิดตัวในยุโรป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเข้ามาทำตลาดในไทยโดยผู้นำเข้ารถยนต์อิสระช่วงกลางปี 2551 ซึ่งค่าหัวก็แพงเอาเรื่องโดยเริ่มต้นตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทไปจนถึง 2 ล้านต้นๆ
“จริงๆการนำเฟียต 500 มาทำตลาดในไทย ถือว่าล่าช้าไปพอสมควร เนื่องจากการเป็นโปรดักต์ใหม่หมด บวกกับชื่อเสียงในอดีต จึงทำให้เฟียต 500 ได้รับความนิยมในตลาดโลกมาก ประกอบกับไทยเป็นตลาดเล็ก ยอดขายต่อปีอาจไม่สูง ดังนั้นบริษัทแม่จึงพิจารณาลำดับตามความเหมาะสม”ธวัชชัย กล่าวและว่า
ที่ผ่านมาบริษัทได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของเมืองไทยไปยังบริษัทแม่ เช่น คุณภาพน้ำมัน สภาพถนน ภูมิอากาศ เพื่อให้พิจารณาและปรับเซ็ทรถให้เหมาะสมกับเมืองไทยโดยเฉพาะ ดังนั้นลูกค้าที่ซื้อ เฟียต500 จาก บริษัทที่เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยตรงสามารถมั่นใจได้ ว่าจะได้รถที่สมบูรณ์แบบที่สุด ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมความพร้อมด้านอะไหล่ และเครื่องมือพิเศษไว้รองรับการบริการอย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากพวกเกรย์มาร์เก็ต
“เราได้โควต้าปีนี้ 100 คัน โดยจะจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงกลางปีนี้ ส่วนราคาก็คงใกล้เคียงกับที่เกรย์มาร์เก็ตตั้งเอาไว้ ทั้งนี้ในช่วงแรกจะทำตลาดเป็นรุ่นปกติก่อน แต่หลังจากนั้น จะเพิ่มทางเลือกในแบบตัวแต่งพิเศษ ตัวแรงเวอร์ชันอาบาร์ธ ไปจนถึงตัวรุ่นเปิดประทุน (500C)”ธวัชชัย กล่าว
สำหรับ เฟียต 500 เป็นแฮตซ์แบ็ก 3 ประตู ที่อิงกับความคลาสสิคในอดีต โดยรุ่นทีทำตลาดในไทยจะเป็น เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ทวินแคม 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 131 นิวตัน – เมตร ที่ 4,250 รอบ/นาที ขณะที่ระบบกันสะเทือนแบบหน้าแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท แบบ ทอร์ชั่นบีม ด้านความปลอดภัยได้ ผ่านการทดสอบชนจาก EuroNCAP ด้วยระดับการปกป้องผู้ขับและผู้โดยสารสูงสุด 5 ดาว พร้อมกับติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเบาะหน้าแบบพองตัวได้ 2 ระดับทั้งคู่, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า
อย่างไรก็ตามธวัชชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า เฟียต อิตาลี มีความตั้งใจขยายตลาดไปทั่วโลก ซึ่งรวมถึงไทยและประเทศในภูมิภาคนี้ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่วิกฤตเศรษฐกิจ อาจจะต้องชะลอหลายแผนงานออกไป แต่เชื่อว่าในอนาคต เฟียต จะเข้ามารุกตลาดไทยเต็มตัวอีกครั้ง ที่สำคัญจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกไปยังประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้อีกด้วย
ส่วนสปอร์ตคาร์ในเครือเดียวกันอย่าง อัลฟ่า โรเมโอ ที่เคยเฟื่องฟูขนาดขึ้นโรงงานประกอบรุ่น 156 เมื่อราว 8-9 ปีก่อน และแม้ปัจจุบันบริษัทแม่จะพับแผนกลับอิตาลีไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงพักหลังการทำตลาดจะค่อนข้างเงียบไปพอสมควร แต่จากนี้ไป ธวัชชัย ยืนยันว่าจะมีโปรดักต์ใหม่ทยอยเปิดตัวเรื่อยๆ โดยเริ่มปลายปีนี้กับรุ่น มี.ตู (Mi.To)
อัลฟ่า มี.ตู เป็นสปอร์ตสายพันธุ์ใหม่ของค่าย และถือเป็นผลผลิตที่จะนำมาท้าชน มินิ ของบีเอ็มดับเบิลยูโดยตรง ด้วยตัวถังกะทัดรัดสไตล์แฮทช์แบ็ก 3 ประตูมิติยาว 4,060 มิลลิเมตร กว้าง 1,720 มิลลิ เมตร และสูง 1,440 มิลลิเมตร โดยขุมพลังที่ขายในไทยจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4 ลิตร เทอร์โบ 155 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์เกียร์ธรรมดาแบบคลัตช์ไฟฟ้าหรือเซเลสปีด (Selespeed) 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.0 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้ 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทำงานของระบบเบรก เครื่องยนต์ เกียร์ พวงมาลัยและช่วงล่าง เพื่อปรับเซ็ตให้มีการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับขี่ โดยสามารถเลือกได้แบบ 3 โหมด คือ Dynamic เน้นสมรรถนะและความเร้าใจ Normal สำหรับการใช้งานในเมือง และ All-Weather เน้นความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อขับบนเส้นทางที่เปียกลื่น ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ลูกค้าต้องควักเงินแรกความเร้าใจประมาณ 3 ล้านบาท
โดยธวัชชัยเชื่อว่าหลังการเปิดตัวรุ่น มี.ตู จะช่วยให้อัลฟ่า รักษายอดขายระดับ 20 คันต่อปีเอาไว้ได้ ที่สำคัญในปีถัดไปยังมีแผนเปิดตัวรุ่นใหม่ ที่ขณะนี้ยังไม่ได้เผยโฉมในตลาดโลกเพิ่มอีกหนึ่งรุ่นด้วย
“ที่เฟียตและ อัลฟ่าเงียบไปในช่วงหลังๆเพราะ มันไม่ค่อยมีโปรดักต์ที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยทั้งสองยี่ห้อถือเป็นรถเฉพาะกลุ่มจริงๆ ดังนั้นแนวทางการตลาดคงไม่ได้โหมโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ แต่จะเน้นไปที่การจัดกิจกรรมให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรง ซึ่งหลังการเปิดตัว เฟียต 500 และ อัลฟ่า มี.ตู ช่วงกลางปีและปลายปีตามลำดับ เชื่อว่าทั้งสองรุ่นจะได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะตัวรถค่อนข้างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์” ธวัชชัย กล่าวปิดท้าย
ทั้งหมดเป็นแผนงานของค่ายรถตายยากอย่างพระนครยนตรการ ที่หาอะไรทำไปเรื่อย และไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูจะทำเงินทำทองไปเสียหมด และในช่วงเศรษฐกิจตก-ตลาดรถซบเซา ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข ก็ยอมรับว่าปีนี้ยอดรายรับรวมของทุกธุรกิจอาจตกลงไป 7-8% แต่กระนั้นยังเชื่อว่าจะมีตัวเลขระดับ10,000 ล้านบาทให้เห็นแน่นอน!
จากอดีตที่เคยเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลายยี่ห้อ ผ่านมรสุม-สุขสม กับไดฮัทสุ ฮุนได โฮลเด้น โอเปิ้ล และล่าสุดกับ“โปรตอน”จากมาเลเซีย....พระนครยนตรการหรือ PNA ในวันนี้ยังเพียบด้วยสรรพกำลัง เครือข่ายเข้มแข็งครบวงจร และพร้อมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไทยอีกครั้ง!?
พระนครยนตรการมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก โดยแตกไลน์ธุรกิจสนับสนุนซึ่งกันละกันไล่เรียงตั้งแต่ การเป็นดีลเลอร์ อีซูซุ ฮอนด้า เชฟโรเลต กับโชว์รูมรวมกันมากกว่า 20 แห่ง และโรงงานประกอบรถยนต์บางชัน ที่ตอนนี้รับทำหลายโปรเจกท์ร่วมกับบริษัทรถยนต์ ซึ่งรวมถึง โครงการ One Roof Centre ศูนย์ปฏิบัติการด้านบริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเซ็นสัญญากันยาว 10 ปี
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรถเช่า บริษัทไฟแนนซ์ บริษัทขายรถล็อตใหญ่(Fleet)ให้ส่วนราชการ และบทบาทสำคัญอย่างการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการรถยนต์โปรตอน เฟียต และ อัลฟ่าโรเมโอ โดยยี่ห้อแรกทำตลาดผ่านบริษัท พระนครโอโตเซลส์ ส่วนสองยี่ห้อหลังเป็น ไทยเพรสทีส ออโต้ เซลส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ
ในส่วนของโปรตอนที่กำลังฮิตติดลมบน กับกระแสเก๋งเล็กมาแรงในปีที่แล้ว โดย แซฟวี นีโอ เจน-ทู และเพอร์โซนา ช่วยกันทำยอดขายรวมกันถึง 3,200 คัน มาปีนี้พระนครโอโตเซลส์ ยังรุกตลาดต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่อีก 2 รุ่น ซึ่งโมเดลแรกเป็นเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง รถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุดที่เตรียมเปิดตัวในบ้านเกิดเร็วๆนี้ และจากนั้นจะนำเข้ามาทำตลาดในไทยช่วงไตรมาส 3 ส่วนอีกโมเดลเป็นเก๋งรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน
ประเด็นนี้ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข บอสใหญ่ของค่าย ไม่ได้บอกรายละเอียดของเก๋งรุ่นใหม่ แต่ก็แย้มว่ารถทั้งสองรุ่นจะช่วยเข้ามาเสริมกำลัง พร้อมกับงบการตลาด 100 ล้านบาท อันจะส่งผลให้ยอดขายปีนี้เพิ่มเป็น 4,000 คันได้ไม่ยาก
“ตลาดรวมในประเทศอาจตกลงไปถึง 15% เมื่อเทียบกับปี 2551 ในส่วนรถยนต์นั่งก็อาจลดลงประมาณ 10% แต่เชื่อว่ารถที่เครื่องยนต์ขนาดต่ำกว่า 1,500 ซีซี ยอดขายจะไม่ตกมาก เพราะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ผู้บริโภคจะเปลี่ยนเทรนด์จากรถยนต์ขนาดใหญ่ มาหารถขนาดเล็ก ที่ประหยัดน้ำมัน และค่าซ่อมบำรุงไม่แพง”ธวัชชัยเปิดเผย “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”
นั่นเป็นแผนของโปรดักต์ทองในยุคนี้ของพระนครยนตรการ แต่ในส่วนของรถสัญชาติอิตาลี ที่อยู่คู่กันมานาน อย่างเฟียตและอัลฟ่า โรเมโอ มาปีนี้สาวกก็เตรียมเฮกันดังๆ เมื่อ “ธวัชชัย” เล็งๆเปิดตัวรถใหม่ถึง 2 รุ่น
เริ่มกับ เฟียต กับซิตี้คาร์รุ่น 500 ที่เปิดตัวในยุโรป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเข้ามาทำตลาดในไทยโดยผู้นำเข้ารถยนต์อิสระช่วงกลางปี 2551 ซึ่งค่าหัวก็แพงเอาเรื่องโดยเริ่มต้นตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทไปจนถึง 2 ล้านต้นๆ
“จริงๆการนำเฟียต 500 มาทำตลาดในไทย ถือว่าล่าช้าไปพอสมควร เนื่องจากการเป็นโปรดักต์ใหม่หมด บวกกับชื่อเสียงในอดีต จึงทำให้เฟียต 500 ได้รับความนิยมในตลาดโลกมาก ประกอบกับไทยเป็นตลาดเล็ก ยอดขายต่อปีอาจไม่สูง ดังนั้นบริษัทแม่จึงพิจารณาลำดับตามความเหมาะสม”ธวัชชัย กล่าวและว่า
ที่ผ่านมาบริษัทได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของเมืองไทยไปยังบริษัทแม่ เช่น คุณภาพน้ำมัน สภาพถนน ภูมิอากาศ เพื่อให้พิจารณาและปรับเซ็ทรถให้เหมาะสมกับเมืองไทยโดยเฉพาะ ดังนั้นลูกค้าที่ซื้อ เฟียต500 จาก บริษัทที่เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยตรงสามารถมั่นใจได้ ว่าจะได้รถที่สมบูรณ์แบบที่สุด ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมความพร้อมด้านอะไหล่ และเครื่องมือพิเศษไว้รองรับการบริการอย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากพวกเกรย์มาร์เก็ต
“เราได้โควต้าปีนี้ 100 คัน โดยจะจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงกลางปีนี้ ส่วนราคาก็คงใกล้เคียงกับที่เกรย์มาร์เก็ตตั้งเอาไว้ ทั้งนี้ในช่วงแรกจะทำตลาดเป็นรุ่นปกติก่อน แต่หลังจากนั้น จะเพิ่มทางเลือกในแบบตัวแต่งพิเศษ ตัวแรงเวอร์ชันอาบาร์ธ ไปจนถึงตัวรุ่นเปิดประทุน (500C)”ธวัชชัย กล่าว
สำหรับ เฟียต 500 เป็นแฮตซ์แบ็ก 3 ประตู ที่อิงกับความคลาสสิคในอดีต โดยรุ่นทีทำตลาดในไทยจะเป็น เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ทวินแคม 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 131 นิวตัน – เมตร ที่ 4,250 รอบ/นาที ขณะที่ระบบกันสะเทือนแบบหน้าแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท แบบ ทอร์ชั่นบีม ด้านความปลอดภัยได้ ผ่านการทดสอบชนจาก EuroNCAP ด้วยระดับการปกป้องผู้ขับและผู้โดยสารสูงสุด 5 ดาว พร้อมกับติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเบาะหน้าแบบพองตัวได้ 2 ระดับทั้งคู่, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า
อย่างไรก็ตามธวัชชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า เฟียต อิตาลี มีความตั้งใจขยายตลาดไปทั่วโลก ซึ่งรวมถึงไทยและประเทศในภูมิภาคนี้ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่วิกฤตเศรษฐกิจ อาจจะต้องชะลอหลายแผนงานออกไป แต่เชื่อว่าในอนาคต เฟียต จะเข้ามารุกตลาดไทยเต็มตัวอีกครั้ง ที่สำคัญจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกไปยังประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้อีกด้วย
ส่วนสปอร์ตคาร์ในเครือเดียวกันอย่าง อัลฟ่า โรเมโอ ที่เคยเฟื่องฟูขนาดขึ้นโรงงานประกอบรุ่น 156 เมื่อราว 8-9 ปีก่อน และแม้ปัจจุบันบริษัทแม่จะพับแผนกลับอิตาลีไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงพักหลังการทำตลาดจะค่อนข้างเงียบไปพอสมควร แต่จากนี้ไป ธวัชชัย ยืนยันว่าจะมีโปรดักต์ใหม่ทยอยเปิดตัวเรื่อยๆ โดยเริ่มปลายปีนี้กับรุ่น มี.ตู (Mi.To)
อัลฟ่า มี.ตู เป็นสปอร์ตสายพันธุ์ใหม่ของค่าย และถือเป็นผลผลิตที่จะนำมาท้าชน มินิ ของบีเอ็มดับเบิลยูโดยตรง ด้วยตัวถังกะทัดรัดสไตล์แฮทช์แบ็ก 3 ประตูมิติยาว 4,060 มิลลิเมตร กว้าง 1,720 มิลลิ เมตร และสูง 1,440 มิลลิเมตร โดยขุมพลังที่ขายในไทยจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4 ลิตร เทอร์โบ 155 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์เกียร์ธรรมดาแบบคลัตช์ไฟฟ้าหรือเซเลสปีด (Selespeed) 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.0 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้ 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทำงานของระบบเบรก เครื่องยนต์ เกียร์ พวงมาลัยและช่วงล่าง เพื่อปรับเซ็ตให้มีการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับขี่ โดยสามารถเลือกได้แบบ 3 โหมด คือ Dynamic เน้นสมรรถนะและความเร้าใจ Normal สำหรับการใช้งานในเมือง และ All-Weather เน้นความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อขับบนเส้นทางที่เปียกลื่น ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ลูกค้าต้องควักเงินแรกความเร้าใจประมาณ 3 ล้านบาท
โดยธวัชชัยเชื่อว่าหลังการเปิดตัวรุ่น มี.ตู จะช่วยให้อัลฟ่า รักษายอดขายระดับ 20 คันต่อปีเอาไว้ได้ ที่สำคัญในปีถัดไปยังมีแผนเปิดตัวรุ่นใหม่ ที่ขณะนี้ยังไม่ได้เผยโฉมในตลาดโลกเพิ่มอีกหนึ่งรุ่นด้วย
“ที่เฟียตและ อัลฟ่าเงียบไปในช่วงหลังๆเพราะ มันไม่ค่อยมีโปรดักต์ที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยทั้งสองยี่ห้อถือเป็นรถเฉพาะกลุ่มจริงๆ ดังนั้นแนวทางการตลาดคงไม่ได้โหมโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ แต่จะเน้นไปที่การจัดกิจกรรมให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรง ซึ่งหลังการเปิดตัว เฟียต 500 และ อัลฟ่า มี.ตู ช่วงกลางปีและปลายปีตามลำดับ เชื่อว่าทั้งสองรุ่นจะได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะตัวรถค่อนข้างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์” ธวัชชัย กล่าวปิดท้าย
ทั้งหมดเป็นแผนงานของค่ายรถตายยากอย่างพระนครยนตรการ ที่หาอะไรทำไปเรื่อย และไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูจะทำเงินทำทองไปเสียหมด และในช่วงเศรษฐกิจตก-ตลาดรถซบเซา ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข ก็ยอมรับว่าปีนี้ยอดรายรับรวมของทุกธุรกิจอาจตกลงไป 7-8% แต่กระนั้นยังเชื่อว่าจะมีตัวเลขระดับ10,000 ล้านบาทให้เห็นแน่นอน!