ก่อนที่จะมีการนำรถยนต์สุดสวยอย่างรุ่นโซลเข้ามาขายอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา ทางด้านเกียจัดการกระตุ้นความสนใจในตลาดกันก่อนด้วยการจับเอาโซลมาดัดแปลงตัวถังและจัดแสดงเป็นต้นแบบทรงสปอร์ตสำหรับเอาใจวัยรุ่นภายใต้ชื่อ Soulster
จริงอยู่ที่ว่าโซลรุ่นจำหน่ายจริงจะได้รับเสียงฮือฮาและมีการส่งขายในยุโรปก่อนสหรัฐอเมริกา แต่ความจริงแล้วรถยนต์ซับคอมแพ็กต์รุ่นนี้เป็นผลผลิตที่มาจากต้นแบบที่เปิดตัวในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2006 และเป็นผลงานการพัฒนาและออกแบบของทาง KMA หรือ Kia Motor America ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย
สำหรับ Soulster ได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานเดียวกับโซลรุ่นจำหน่ายจริง แต่ฉีกแนวคิดมาสู่การสนองตอบความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของการทำกิจกรรมหรือการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ด้วยตัวถังแบบ Open-Air ในสไตล์ปิกอัพ 4 ที่นั่งเปิดประทุน พร้อมกับมีแผ่นพลาสติกใสแบบพับได้สำหรับใช้ปิดตัวถังด้านหลัง และหลังคาเพื่อป้องกันไม่ให้เปียกเวลาที่ฝนตก โดยเสริมความสปอร์ตด้วยล้อแม็กวงโตขนาด 19 นิ้ว
แม้จะดูแล้วเป็นปิกอัพ แต่เกียก็จัดการติดตั้งเบาะนั่งแบบสปอร์ตเอาไว้ 4 ตัว และยังเหลือพื้นที่อีกพอสมควรสำหรับรองรับกับการบรรทุกสัมภาระ หรือว่าจะพับเบาะหลังลงเก็บเพื่อเพิ่มที่ในการบรรทุกของก็ได้
ส่วนภายในออกแบบได้อย่างสวยและล้ำสมัย เน้นความสปอร์ตบนพื้นฐานของประโยชน์ใช้สอย โดยเฉพาะการเลือกใช้วัสดุสำหรับตกแต่งและผลิตส่วนประกอบภายในห้องโดยสาร ซึ่งจะต้องมีความทนทานต่อการใช้งานหลากหลายรูปแบบตามแบบฉบับของการทำกิจกรรมกลางแจ้งของคนยุคใหม่ แต่ให้ความสวยงาม และดูดี
ในเรื่องของขุมพลังที่อยู่ใต้ฝากระโปรง เกียไม่ได้ระบุว่าเป็นบล็อกไหน บอกแค่ว่า Soulster สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่ชื่นชอบสมรรถนะในการขับขี่และความคล่องตัว ก็สามารถสัมผัสได้กับเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,600 ซีซี 120 แรงม้า หรือว่า 2,000 ซีซี 140 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ
หรือคนที่ชอบความประหยัดและมีมลพิษต่ำก็หันมาคบกับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1,600 ซีซี 124 แรงม้าก็ได้ โดยทั้งหมดเป็นทางเลือกแบบเดียวกับที่ติดตั้งอยู่ในโซลรุ่นจำหน่ายจริง ซึ่งจะมีทางเลือกของเครื่องยนต์แตกต่างกันออกไป ตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค
สำหรับการผลิตจริงของ Soulster ยังไม่มีการยืนยัน แต่ดูจากแนวโน้มหลายอย่างและถ้าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มใหญ่อย่าง Gen Y ในสหรัฐอเมริกา หรือคนที่เกิดในช่วง 1978-2000 ซึ่งว่ากันว่าในเมืองลุงแซมมีสูงถึง 76 ล้านคน ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่เกียจะผลิตออกมาขายเพื่อเสริมทัพกับรุ่นแฮทช์แบ็ก สำหรับสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับแบรนด์ไซออนของโตโยต้าก็เป็นได้
