xs
xsm
sm
md
lg

แก้วใจ เผอิญโชค แมคโดนัลด์ กับศิลปะแห่งชีวิต และ‘ชา’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชีวิตที่เกิดมาเป็นทายาทของตระกูล “เผอิญโชค” เจ้าของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ของไทย “ไทยรุ่งยูเนียนคาร์” ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งอย่าง “แก้วใจ เผอิญโชค” ต้องเข้าไปเป็นกรรมการบริหารของบริษัทแม่ไทยรุ่งฯ แล้ว ยังต้องนำทัพบริหารบริษัทในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นซีอีโอ และบอร์ดบริหารประมาณ 20 บริษัทได้ ทำให้ดูเสมือนว่าชีวิตของเธอ ในแต่ละวินาทีของทุกๆ วัน แทบจะอยู่กับงาน…งาน…และงาน จึงเกิดคำถามว่า… แล้วด้านอื่นๆ ของชีวิตเธอมีหรือไม่? หากมีแล้วเป็นอย่างไร?

“พี่มองเวลาเป็นสิ่งมีค่า ฉะนั้นในแต่ละนาที หรือวินาที เราจะใช้เวลาอย่างไรให้เกิดประโยชน์ หรือคุณค่าสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว ลูก ส่วนตัว และสังคม เพราะทุกคนมีเวลาเท่ากันหมด แต่เราจะใช้เวลาอย่างไรให้มีคุณภาพ สามารถผสมผสานตอบสนองสิ่งที่เราสนใจ หรือต้องการในเวลาเดียวกันได้”

นั่นคือคำเฉลยของ “แก้วใจ” กับข้อสงสัยของ “ASTV ผู้จัดการ Lite” ซึ่งจะเป็นบันไดนำไปสู่เรื่องราวมากมายในชีวิตของเธอ
โดยแก้วใจเล่าถึงตัวตนของเธอต่อไปว่า… “พี่เป็นคนชอบวางแผน และเตรียมตัว เพราะหากเราวางแผนและเตรียมตัวได้ดี จะทำให้เราบรรลุผลได้อย่างที่ตั้งใจ เวลาก็จะไม่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์”

“อย่างเราเป็นคนมีครอบครัวมีลูกแล้ว ลูกสาว 1 คน และลูกชายอีก 2 คน ตรงนี้ก็ต้องประยุกต์การใช้ชีวิตให้ผสมผสานกันไปได้ ซึ่งพี่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เรียกว่าแทบจะทุกประเภทยกเว้นพวกนวนิยาย ชอบเล่นกีฬา ชอบท่องเที่ยวและขับรถ และชอบทำอาหาร ฉะนั้นเวลาอยู่บ้านหรือกับครอบครัว เราก็จะมีกิจกรรมทำร่วมกันตลอดเวลา”

ทั้งนี้แก้วใจบอกว่า จะไม่พยายามพากันดูทีวีมากนัก แต่จะใช้เวลาในการทำกิจกรรมกับครอบครัวมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือกับลูกๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชอบอยู่แล้ว หรือการไปท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่จะไปกันเป็นครอบครัว มีทั้งขับรถไปกันเอง และไปกับบริษัททัวร์ อย่างเมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวมาก จะชอบขับรถไปเที่ยวกันเอง หรือเวลาไปต่างประเทศบางครั้งก็จะเช่ารถ จากนั้นก็จะเปิดแผนที่พากันขับรถเที่ยว ซึ่งเธอบอกว่าทุกคนโดยเฉพาะลูกๆ สนุกมาก

“เราจะพยายามจะใช้ชีวิตร่วมกัน พยายามเลี้ยงลูกสอนลูกแบบให้เขารู้จักติดดิน มีมุมมองในการใช้ชีวิตได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะสบายๆ หรือลำบากก็ต้องรู้จัก ตรงนี้จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้หลายรูปแบบ หรือแม้แต่เรื่องการทำอาหารเราก็สอนและทำด้วยกัน ซึ่งพี่เป็นคนที่ชอบทำอาหารมาก ทำได้ทั้งอาหารไทย จีน และฝรั่ง”
แก้วใจเล่าไปด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อพูดถึงกับการทำกิจกรรมกับครอบครัว โดยเธอบอกว่าที่ชอบทำอาหาร เพราะได้รับอิทธิพลมาจากคุณแม่(ดร.ปราณี เผอิญโชค) และสมัยที่ไปเรียน University of New England ที่ประเทศออสเตรเลีย เธอก็พักอยู่กับครอบครัวที่ทำธุรกิจภัตตาคาร จึงได้รับความรู้และฝึกฝีมือการทำอาหารมาพอสมควร

“พี่ชอบทำอาหารมากและเคยไปเรียนที่บุศราคัม ซึ่งเป็นทั้งร้านอาหารและโรงเรียนสอนการทำอาหาร สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ร้านนี้มีชื่อมากพี่ไปเรียนหลักสูตรอาหารไทยชาววัง และแกะสลักผลไม้ แม้ปัจจุบันพี่ก็ยังสนใจศึกษาการทำอาหารอยู่ตลอด แต่จะซื้อหนังสือมาอ่านมากกว่า อย่างเล่มหนึ่งชื่อ Just 5 Things ซึ่งเป็นคู่มือประยุกต์การทำอาหาร มีเพียงของ 5 อย่าง แต่สามารถทำอาหารได้หลากหลายชนิด เหมาะกับยุคนี้มากที่คนไม่ค่อยจะมีเวลา เรามีแค่ 5 อย่างก็สามารถทำอะไรได้มากมาย และมีประโยชน์พอสมควร”

“การทำอาหารเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง เพราะเราจะต้องทำให้อาหารนั้นๆ มีรสชาติดีแล้ว จะต้องดูน่ารับประทานด้วย เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตก็เป็นศิลปะอีกแบบ ซึ่งเราจะต้องทำออกมาให้ดี และผสมผสานได้อย่างลงตัวและกลมกลืน”

จากแนวคิดดังกล่าว จึงไม่แปลกที่แก้วใจจะเป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงใหลใน… “รวย ริน กลิ่น ชา” ซึ่งว่ากันว่าเป็นเครื่องดื่มที่จะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ จึงได้รสชาติของความอร่อยและสุขใจ
“ชาเป็นสิ่งที่พี่ชอบมาก แทบจะเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิต เฉกเช่นเดียวกับการรับประทานอาหารเลย ซึ่งชาไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเครื่องดื่ม รสชาติ หรือกลิ่นเท่านั้น แต่มันให้ความรู้สึกที่ดี และมีประโยชน์ และชายังมีเรื่องราวให้เราได้ศึกษาไม่รู้จบ เพราะชามีมานานนับพันปีแล้ว”


พอเอ่ยถึงชาจากท่าทียิ้มแย้มอยู่แล้วของแก้วใจ ยิ่งทำให้เธอกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีก และดูเหมือนเธอจะพูดถึงชาได้แบบผู้ที่เข้าใจทีเดียว

“หากจะพูดถึงชาคงแบ่งคร่าวๆ ได้ 4 แบบ คือ Black Tea, Green Tea, Herb Tea และชาทั่วๆ ไป อย่างของจีนนี่จะเป็นชาดำที่มีชื่อคนรู้จักกันมากก็ชาอู่หลง ส่วนกรีนทีที่เป็นของญี่ปุ่นจะมีกาแฟอีนมากกว่า ในส่วนของพี่จะชอบพวกชาสุขภาพและชาดำ อย่างพวก Earl Grey นี่จะชอบ เพราะเขาจะเอาใบชาไปคั่วอบกับน้ำมันมะกรูด ทำให้มีกลิ่นหอมมาก และรสชาติก็เข้มข้นดี”

ฟังแล้วจึงไม่แปลกที่เมื่อมองไปรอบๆ ห้องทำงานของเธอ จะมีกล่องชาวางอยู่ ซึ่งแก้วใจบอกว่านี่เป็นเพียงจำนวนหนึ่ง แต่ที่บ้านจะมีมากกว่านี้อีก เพราะเวลาไปต่างประเทศจะชอบซื้อมาเก็บไว้ โดยเฉพาะชาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น Mint Tea, Cinnamon Tea หรือ Lemon Tea

แน่นอนเมื่อเธอชื่นชอบชาขนาดนี้ ย่อมต้องมีกรรมวิธีในการดื่มหรือชงชา ที่ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ชนิดหนึ่ง ซึ่งบางคนถึงกับลงทุนไปเรียนอย่างจริงจัง “เราต้องรู้จักชาแต่ละชนิดถึงจะชงหรือดื่มได้ถูกต้อง เพื่อที่จะเรียกรสชาติของชาออกมาได้มากที่สุด อย่างพี่ชอบชาของฝรั่ง ฉะนั้นวิธีการชงหรือดื่มนอกจากชาที่เราชอบแล้ว จะต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกถ้วยช้าที่เหมาะสมเสียก่อน โดยเนื้อกระเบื้องถ้วยชาจะต้องบาง ห้ามใช้เนื้อหนามากๆ เพราะจะทำให้ความร้อนออกได้ง่าย ซึ่งการดื่มชาต้องไม่ร้อนมาก และดื่มได้เร็วกว่า ที่สำคัญถ้วยชาจะต้องปากบานจึงจะดี ทำให้ได้รับกลิ่นของชาเต็มที่”

“ส่วนกรรมวิธีการชงชา ต้องลวกถ้วยชากับน้ำร้อนก่อนประมาณ 20 วินาที จากนั้นนำถุงชา หรือชาลงไป และใส่น้ำร้อนตาม ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แต่อย่าคนหรือแกว่งถุงชา เพราะแม้ชาจะละลายออกมาเร็ว แต่รสชาติจริงๆ จะออกมาช้า ปล่อยให้ความร้อนทำการละลายของมันเอง จะได้รสชาติที่ดีกว่า ซึ่งพวก White Tea ต้องใส่น้ำตาลก่อนใส่นม และยิ่งมีสโคน(Scone : ขนมปังชนิดหนึ่ง) มาเคียงด้วยแล้ว แค่นี้เราก็จะได้ชาที่รสชาติกลมกล่อมและให้ความรู้สึกสบายแล้ว”

และเมื่อถามเธอจะดื่มชาตอนไหน? อย่างไร? แก้วใจบอกว่า… “จะดื่มชาอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง แต่จะไม่ใช่ประเภทเดียวกันตลอด คือ ชาตอนเช้าจะเป็นอะไรที่สดชื่นให้พลังงานกระตุ้นเรา และตอนบ่ายๆ จะเป็นชาที่ทานแล้วรู้สึก Cool Down และกลางคืน Bed Time Tea จะเป็นชาสุขภาพ (Herb Tea )”

เมื่อถามถึงชาญี่ปุ่นสนใจหรือไม่? แก้วใจบอกว่าถือเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนมาก แม้จะชื่นชอบแต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ซึ่งไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและสภาวะที่ต้องใช้เวลาเร่งรีบของเธอเท่าไหร่

ด้วยรสชาติของชาไม่เพียงจะทำให้แก้วใจหลงใหลเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อไปถึงถ้วยชาด้วย เพราะเธอบอกว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชอบ ดังนั้นที่บ้านจะมีถ้วยชาจากที่ต่างๆ เก็บสะสมไว้พอสมควร นอกจากตุ๊กตาตัวตลกนับร้อยๆ ตัว ที่เธอบอกว่าเป็นอีกสิ่งของสะสมที่ชื่นชอบ เพราะมันเป็นอะไรที่ให้ความสุขกับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาท่าทาง หรือบุคลิก

จากสิ่งที่แก้วใจเล่ามาดูเหมือนเธอจะจัดการกับชีวิตได้อย่างลงตัว แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า… มีบ้างหรือเปล่าที่เธอรู้สึกเหนื่อยหรือท้อใจ เพราะไม่เพียงแค่บริษัทร่วม 20 แห่ง ที่เธอต้องบริหารในกลุ่มไทยรุ่งฯ แก้วใจยังแยกไปทำรีสอร์ทที่เป็นธุรกิจส่วนตัวอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ปรานบุรี, กุยบุรี, เกาะกูด, เกาะพงัน, เกาะสมุย และใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็มี

“จากการสัมผัสประสบการณ์หลายๆ ด้านของชีวิต รวมถึงการศึกษาและเรียนรู้จากหนังสือต่างๆ ทำให้เรามีมุมมองที่เปิดกว้าง นอกจากนี้พี่เป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะ จึงพยายามเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์และโลก แน่นอนเมื่อเรายอมรับหลายๆ เรื่องมากขึ้น ซึ่งบางอย่างก็ต้องปล่อยวาง ตรงนี้จะทำให้เราไม่เป็นทุกข์ อาจจะเรียกว่าเป็นศิลปะการใช้ชีวิตก็ได้”

นั่นดูจะเป็นคำตอบของแก้วใจ ที่เธอเลือกเดินไปบนเส้นทางของ… “ศิลปะแห่งชีวิต และชา”

กำลังโหลดความคิดเห็น